svasdssvasds

ศาลปกครองสูงสุดไม่รับพิจารณาใหม่ให้ ป.ป.ช. เปิดข้อมูลนาฬิกา บิ๊กป้อม

ศาลปกครองสูงสุดไม่รับพิจารณาใหม่ให้ ป.ป.ช. เปิดข้อมูลนาฬิกา บิ๊กป้อม

ศาลปกครองสูงสุด ยกอุทธรณ์ ป.ป.ช. ไม่รื้อคดี 'บัญชีทรัพย์สิน' 'พล.อ.ประวิตร' วงษ์สุวรรณ ยืนตามศาลปกครองกลาง เหตุเพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์

จากกรณีศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยรายงานสรุปผลการแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรทราบ ส่งผลให้สำนักงาน ป.ป.ช.ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในคดีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อนของ พล.อ.ประวิตร

ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 ส.ค. 2562 ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา

คดีสืบเนื่องมาจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ. ๗๘๙/๒๕๖๔ หมายเลขแดงที่ อ. ๒๒๔/๒๕๖๖ ระหว่าง นาย ว. ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสามรายการ 

ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค ๓๓๓/๒๕๖๒ แก่ผู้ฟ้องคดี ๓ รายการประกอบด้วย ๑. รายงานและสำนวนการตรวจสอบ การไต่สวน และการไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ 

การไต่สวน และการไต่สวนเบื้องต้น กรณีดังกล่าว ๒. ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคน 
ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว และ ๓. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า ๑. คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดนี้มีสาระสำคัญไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง

ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กล่าวคือ ผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้เสียหายตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ศาลมิได้พิจารณาถึงความเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีของผู้ฟ้องคดี จึงทำให้กระบวนพิจารณาคดีของศาลคลาดเคลื่อน และเอกสารที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เปิดเผยเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และมาตรา ๑๕ (๒) (๓) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ 

รวมทั้งอ้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๒ คดี คือ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๖๘๑/๒๕๖๐ กับคดีหมายเลขแดงที่ อร. ๗๔/๒๕๖๔ แต่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยเฉพาะคำพิพากษาคดีหมายเลขแดง ที่ อร. ๗๔/๒๕๖๔ ๒. คำพิพากษาคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัยหลักกฎหมาย กล่าวคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๓๖ วรรคสาม ห้ามมิให้เปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลรายงานและสำนวนการตรวจสอบ สอบสวน ไต่สวน หรือไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ การสอบสวน การไต่สวน หรือการไต่สวนเบื้องต้นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้พิจารณาและมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ จะเป็นการเปิดเผย เพื่อประโยชน์ในการไต่สวนหรือไต่สวนเบื้องต้น 

ทั้งนี้ ให้ถือเป็นความลับของทางราชการ ตามที่กฎหมายบัญญัติ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมายกเว้นมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และ ๓. การไต่สวนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้อำนาจตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงไม่เป็นคำสั่งทางปกครองตามคำวินิจฉัยของศาล 

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๑๔๖๑ /๒๕๖๖ และคำสั่งที่ ๑๔๖๒/๒๕๖๖ ยืนตามคำสั่งของ

ศาลปกครองกลาง โดยวินิจฉัยว่า ความเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งอันแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในชั้นตรวจคำฟ้องก่อนที่จะมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว แม้ประเด็นการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเงื่อนไขการฟ้องคดีปกครอง จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่กรณีไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามข้อ ๙๒ ประกอบข้อ ๑๑๖ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม 

แต่เมื่อคดีนี้ไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเองก็มิได้ยกขึ้นโต้แย้งทั้งในกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ประกอบกับมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี
ของศาล จะต้องระบุถึงความเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จะมีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด 

เมื่อคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้โต้แย้งการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดี ทั้งในกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ตามที่กล่าวมา ศาลจึงไม่จำต้องยกขึ้นวินิจฉัยและระบุไว้ในคำพิพากษา 

กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่า คำพิพากษาของศาลมีสาระสำคัญไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กล่าวอ้างซึ่งจะทำให้ศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน

ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่า เอกสารที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เปิดเผยเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามมิให้เปิดเผย ตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๒ และตามมาตรา ๑๕ (๒) (๓) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ อีกทั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้อ้างพยานหลักฐานคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๖๘๑/๒๕๖๐ และคดีหมายเลขแดงที่ อร. ๗๔/๒๕๖๔ โดยมิได้พิจารณาคดีหมายเลขแดงที่ อ. ๖๘๑/๒๕๖๐ ซึ่งมีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีนี้ และการไต่สวนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น  เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างในการขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๒๒๔/๒๕๖๖ ได้วินิจฉัยไว้แล้ว 

กรณีจึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน การพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเท่านั้น กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่ามีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนการพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้

related