svasdssvasds

รวมที่เดียว! ทุกเรื่องคาใจ - ไขทุกข้อพิรุธ "คดีเสือดำ"

รวมที่เดียว! ทุกเรื่องคาใจ - ไขทุกข้อพิรุธ "คดีเสือดำ"

แจงทุกประเด็นที่ชาวเน็ตสงสัย ตำรวจช่วย "เปรมชัย" หลุดคดี ล่าเสือดำจริงหรือไม่

สำหรับคดีที่นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด พร้อมพวก 4 คนถูกจับและดำเนินคดีฐานล่าสัตว์ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี ที่ผ่านมานานกว่า 1 เดือน แต่หลายฝ่ายต่างมองว่า คดีไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งยังเกิดข้อสงสัยในหลายประเด็นเกี่ยวกับการทำคดี ที่ตำรวจอาจเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งในประเด็น เขม่าดินปืน ซุปเสือดำ และ งาช้างที่พบในบ้าน วันนี้ ทีมข่าวสปริงนิวส์ ออนไลน์ จะมาไขข้อความกระจ่างในแต่ละประเด็น ไล่เรียงจากประเด็นร้อนล่าสุด!!

*** ประเด็นที่ 1 จำลองวิถีกระสุน เป็นหลักฐานไม่ได้ ***

เกี่ยวกับวิถีกระสุนที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ ไปจำลองในพื้นที่เกิดเหตุ แต่ ผู้บังคับการตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่า ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบสำนวนได้

ในประเด็นนี้ ทีมข่าวสปริงนิวส์ ออนไลน์ ได้โทรศัพท์ ไปขอความชัดเจนว่าเหตุใดผลจำลองวิถีกระสุนดังกล่าวจึงนำมาใช้อ้างอิงไม่ได้ พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง จึงอธิบายว่า ตามหลักการในการจำลองวิถีกระสุน ของตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จะต้องดำเนินการดังนี้

1. รูที่คิดว่าเป็นรูกระสุน จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าเป็นรูกระสุน จริงหรือไม่ โดยจะต้องตรวจหา คราบตะกั่ว หรือทองแดง ว่ามีอยู่ในบริเวณนั้นหรือไม่

2. บริเวณที่คิดว่าเป็นรูกระสุน จะต้องตรวจสอบว่าพลลูกกระสุน ตกอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือไม่

เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้น เสือดำถูกยิงด้วยกระสุนปืน ลูกซอง 1 นัด โดยกระสุนจะสามารถกระจายเป็น 12 เม็ด และจากการตรวจสอบสามารถอนุมานได้ว่ากระสุนโดนตัวเสือดำ 8 เม็ด และที่เหลืออีก 4 เม็ด กระสุนลูกปลายต้องตกไม่ไกลจากตัวเสือ ซึ่งในการจำลองวิถีกระสุนปืนของ ชุดพญาเสือ ไม่ได้มีการนำหลักการดังกล่าวมาใช้  อีกทั้งในการอ้างอิงจุดที่พบปลอกกระสุน ก็ไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นจุดที่ยิง เพราะว่า ปืนลูกซองไม่เหมือนกับปืนออโตเมติก ที่เมื่อยิงออกไปแล้วปลอกกระสุนจะเด้งออกจากลำกล้องปืนทันที ทำให้สามารถทำให้คำนวณจุดยิงได้อย่างแม่นยำ แต่ปืนลูกซองนั้นเมื่อยิงออกไปแล้วปลอกกระสุนจะคาอยู่ในลำกล้องจนกว่าจะมีการคัดปลอกออกจากปืน ซึ่งนั้นหมายความว่าผู้ยิงอาจจะเปลี่ยนจุดยิงได้ โดยในเรื่องดังกล่าวทางศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 ได้อธิบายเรื่องนี้ไปกับ นายชัยวัฒน์ แล้ว

ดังนั้น!! จึงไม่สามารถนำหลักการดังกล่าวมาประกอบสำนวนได้

https://www.springnews.co.th/view/205503

*** ประเด็นที่ 2 ขอพักผ่อนป่าใหญ่ แต่ปืนล่าสัตว์-เกลือหมักพร้อม ***

ขณะที่ ประเด็นซึ่งเป็นข้อข้องใจหลายๆ คนคงหนีไม่พ้น เรื่องที่นายเปรมชัย ขอพักผ่อนในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แต่มีการพกปืนล่าสัตว์เข้าป่า พร้อมเครื่องครัวสนาม มีดชำแหละ และเกลืออุปกรณ์สำคัญในการถนอมเนื้อสด ซึ่งทนายความของนายเปรมชัย ยืนยันว่าลูกความเข้าไปเพียงพักผ่อน ส่วนอาวุธปืน ที่พบต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามว่าปืนเป็นของนายเปรมชัย

ส่วนเรื่องที่นายเปรมชัย ออกนอกเส้นทาง จากที่ขออนุญาตไว้ ทางทนายว่า ก็ยืนยันว่าไม่ได้ออกเพียงแต่กลุ่มผู้ต้องหาไม่ชำนาญทาง อีกทั้งระหว่างเกิดเหตุ เส้นทางมืด และเมื่อเห็นว่ามีแหล่งน้ำพักอาศัยได้ จึงพักแรมตรงนั้น แต่เมื่อดูภาพจากกรมอุทยานฯพบว่า เส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่อุดมไปด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะเสือดำ ที่เคยมีการจับภาพได้ห่างจากจุดที่ถูกยิงไม่กี่ร้อยเมตร

https://www.springnews.co.th/view/194559

*** ประเด็นที่ 3 “เขม่าดินปืน” หลักฐานสำคัญ แต่ไร้ความสำคัญ ***

เขม่าดินปืน ที่เก็บจากตัวนายเปรมชัยและพวกในวันที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯส่งตัว ทั้ง4คนให้กับตำรวจ แต่กลับตรวจไม่พบ พล.ต.ต.ธวัชชัย ชี้แจงว่าการที่ตรวจไม่พบเขม่าดินปืนที่มือของผู้ต้องหาทั้ง 4 คนเนื่องจาก เกินกำหนดเวลา เพราะตามหลักการเก็บหลักฐานจากเขม่าดินปืน อาทิ คราบโลหะ ที่อยู่บนมือ จะตรวจพบได้ภายในระยะเวลา 6 ชั่วโมง หากไม่ดำเนินการเก็บวัตถุพยานในห้วงเวลาดังกล่าว ก็อาจทำให้ คราบโลหะดังกล่าวร่วงหล่นหรือถูกเช็ดออกไปได้ ส่วนเสื้อของผู้ต้องหา ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจยึดไว้ให้ตรวจสอบ จึงทำให้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้ลงมือยิงเสือดำ

https://www.springnews.co.th/view/208478

 

*** ประเด็นที่ 4 ฆ่าชำแหละ“สัตว์ป่า”รอดทารุณกรรม ***

ภาพที่ปรากฏตั้งแต่วันที่มีการจับกุมคณะนายเปรมชัย คือการถลกหนักเสือดำในสภาพสมบูรณ์ ส่วนเนื้อสะโพกถูกนำไปปรุงอาหาร และโยกกระดูกขาทิ้งน้ำ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปงมพบ ประเด็นนี้เกิดกระแสในโลกโซเชียลมากมากว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณ จนมีการแจ้งความข้อหาทารุณกรรมสัตว์กับคณะนายเปรมชัย แต่คดีนี้นายเปรมชัยรอด! เนื่องจากเมื่อมีการพิจารณาข้อกฎหมาย กลับพบว่าพ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ นั้นออกมาใหม่ เมื่อปี 2557 ใช้คุ้มครองสวัสดิภาพของสัตว์ ซึ่งหมายถึง สัตว์เลี้ยง สัตว์พาหนะ และสัตว์เกษตร รวมทั้งสัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ในธรรมชาติบางชนิด ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการคุ้มครอง ส่วนสัตว์ป่าคุ้มครอง สัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าในพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่านั้น มี พ.ร.บ. คุ้มครอง ทั้งในด้านการล่า การฆ่า และการครอบครองซาก ดังนั้นจึงเหมือนเป็นช่องโหว่ ไม่สามารถเอาผิดนายเปรมชัย ในข้อหาดังกล่าวได้ จนเจ้าหน้าที่ต้องถอนแจ้งความ

https://www.springnews.co.th/view/204314

 

*** ประเด็นที่ 5 ตร.รับแจ้งความก็ผิด แต่ถ้าไม่รับก็ผิด ***

และจากประเด็นการถอนแจ้งความ จึงนำมาสู่การลงโทษภาคทัณฑ์ ตำรวจที่รับแจ้งความ หลังมองว่าเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ตรวจสอบข้อกฎหมายให้แน่ชัดว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และรับคำร้องทุกข์ของนายณรงค์ชัย สังวรวงศา หัวหน้าด่านกักกันสัตว์กาญจนบุรีไว้ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ก่อนที่ต่อมานายณรงค์ชัย จะถอนคำร้องทุกข์ไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เนื่องจากพบว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งประเด็นนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันว่า เป็นการทำตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ประกอบกับกฎ ก.ตร. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษข้าราชการตำรวจ

https://www.springnews.co.th/view/206096

 

*** ประเด็นที่ 6 คลิปติดสินบนหาย!! ***

คลิปเสียงที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯบันทึกไว้ขณะเข้าจับกุมคณะของนายเปรมชัย และมีการต่อรองให้ปล่อยตัว ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในการเอาผิดข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าได้ แต่ก็เกิดหายไป ซึ่งประเด็นนี้ ถูกเปิดเผยโดย พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ รองผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ที่ระบุว่า เจ้าของโทรศัพท์ ที่ใช้บันทึกเสียงดังกล่าว ได้ลบทิ้งออกจากเครื่องไปแล้ว แต่พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยืนยันว่า คลิปเสียงดังกล่าวอาจจะใช้พิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลได้ไม่ชัดเจน แต่พยานบุคคลสามารถระบุตัวและชี้ได้ชัดเจนกว่า

https://www.springnews.co.th/view/203526

https://www.springnews.co.th/view/194574

 

*** ประเด็นที่ 7 งาช้างแอฟริกาในบ้าน ***

งาช้างคู่งามพร้อมกับปืนล่าสัตว์จำนวนมากที่พบในบ้านนายเปรมชัย กลับกลายเป็นชื่อของนางคณิตตา กรรณสูต ภรรยาของนายเปรมชัย เป็นผู้จดแจ้งขึ้นทะเบียน ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้ที่นำมาเปิดเผยคือ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมระบุว่าเป็นข้อมูลที่ได้รับรายงานจาก กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในฐานะผู้รับแจ้งขึ้นทะเบียน จึงไม่สามารถดำเนินคดีกับนายเปรมชัยในข้อหา มีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ใช่การช่วยเหลือนายเปรมชัย ให้พ้นผิด

https://www.springnews.co.th/view/194818

https://www.springnews.co.th/view/208411

 

*** ประเด็นที่ 8 เสือดำจากตัวผู้กลายเป็นตัวเมีย ***

เสือดำจากตัวผู้กลายเป็นตัวเมีย สำหรับเรื่องนี้ มีกระแสข่าวตั้งแต่แรกๆ ออกมาว่า การที่นายเปรมชัย เข้าไปล่าเสือดำ เพราะต้องการกินตัวเดียวอันเดียว ของ เสือดำ แต่เมื่อผล DNA ของกรมอุทยานฯ ออกมากลับระบุว่าซุปเสือดำที่พบในหม้อ ไม่ใช่เสือดำตัวผู้ แต่เป็นเสือตัวเมีย จึงทำให้ประเด็นการตั้งใจเข้าป่าเพื่อกินตัวเดียวอันเดียวของนายเปรมชัย ตกไป และอาจทำให้นายเปรมชัยหลุดข้อหาหนักจากเจตนาเข้าไปล่าสัตว์ป่า เหลือเพียงการเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

และจากประเด็นการถอนแจ้งความ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ 7 การลงโทษภาคทัณฑ์ ตำรวจที่รับแจ้งความ หลังมองว่าเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ตรวจสอบข้อกฎหมายให้แน่ชัดว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และรับคำร้องทุกข์ของนายณรงค์ชัย สังวรวงศา หัวหน้าด่านกักกันสัตว์กาญจนบุรีไว้ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ก่อนที่ต่อมานายณรงค์ชัย จะถอนคำร้องทุกข์ไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เนื่องจากพบว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งประเด็นนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันว่า เป็นการทำตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ประกอบกับกฎ ก.ตร. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษข้าราชการตำรวจ

https://www.springnews.co.th/view/208788

related