เช็กข่าวเช้านี้ : ประมวลเหตุการณ์ “พันธมิตร” โจมตี “ซีเรีย” รัสเซียขู่ อาจนำไปสู่สงครามได้

สื่อทางการซีเรียประณามชาติพันธมิตร

สำนักข่าวซาน่า ของทางการซีเรีย แถลงประณามสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ร่วมปฏิบัติการณ์โจมตีซีเรีย โดยระบุว่า การโจมตีดังกล่าวละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นความผิดพลาด ขณะที่ทูตเรีสเซีย เตือนถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากสหรัฐฯและชาติพันธมิตรปฏิบัติการโจมตีซีเรีย

รายงานของสื่อซีเรียมีขึ้นหลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ ได้ยิงโจมตีซีเรียแล้ว เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องใช้กำลังโจมตีซีเรีย โดยสหรัฐ ร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส โจมตีซีเรียเพื่อลดศักยภาพในการผลิตอาวุธเคมีของซีเรีย เนื่องจากหน่วยข่าวกรอง ระบุว่า รัฐบาลซีเรียอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมีครั้งนี้อย่างแน่นอน

สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษ เริ่มการโจมตีฐานอาวุธเคมีซีเรียแล้ว

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ว่าเขาได้อนุมัติการโจมตีฐานอาวุธเคมีของซีเรียแล้ว ด้วยความร่วมมือกับอังกฤษ และฝรั่งเศส ขณะที่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของซีเรียรายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดอย่างน้อย 6 ครั้งใกล้กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศ วัตถุประสงค์ของการกระทำของเราคืนนี้ เพื่อสร้างการยับยั้งต่อการผลิต แพร่กระจาย และการใช้อาวุธเคมี

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวกับสำนักข่าวว่าขีปนาวุธโทมาฮอว์คหลายลูกถูกใช้ในการโจมตีหลายพื้นที่

ขณะองค์กรสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรียรายงานว่า ขีปนาวุธตกที่ศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเมืองหลวงของซีเรีย และฐานทัพทหารหลายจุด

หลังสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรประกาศร่วมมือกันตอบโต้ซีเรีย กรณีใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน ล่าสุด รัสเซียเตือนสหรัฐฯว่าการโจมตีทางอากาศที่ซีเรียอาจนำไปสู่สงครามได้ นายวาสสิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ระบุว่า สิ่งจำเป็นเร่งด่วนตอนนี้ก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม

“รัฐบาลสหรัฐฯว่านำความเสี่ยงมาสู่สันติภาพโลก และสถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าอันตรายมาก เพราะบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกกำลังเตรียมการโจมตีซีเรีย แต่รัสเซียในฐานะที่เป็นพันธมิตรก็ซีเรีย ขอต่อต้านการกระทำเช่นนี้” นายวาสสิลี เนเบนเซีย กล่าวและยังย้ำว่า มีแนวโน้มที่จะสถานการณ์จะแย่ขึ้นและอันตราย เพราะกองทัพรัสเซียนั้นประจำการอยู่ในซีเรียด้วย

ก่อนหน้านี้ ทางการรัสเซียเตือนว่า ขีปนาวุธของสหรัฐฯจะถูกยิงตกทันทีหากเป้าหมายการโจมตีนั้นมีเจ้าหน้าที่รัสเซียตกอยู่ในความเสี่ยงด้วย

ด้านนายเซอร์เกย ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียระบุล่าสุดว่า รัสเซียมีหลักฐานชัดวาการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียนั้นมีหน่วยสืบราชการลับต่างชาติร่วมปฏิบัติการ และเป็นหน่วยสืบราชการลับของชาติที่เป็นแนวหน้าในการต่อต้านรัสเซียด้วย

[caption id="attachment_236528" align="alignnone" width="600"] ประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสซาด[/caption]

ด้านรัฐบาลอังกฤษได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะหนุนหลังปฏิบัติการของสหรัฐฯในการโจมตีซีเรียแล้ว โดยบอกว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ระบอบอัสซาดนั้นใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชน และไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปได้

การประชุมคณะรัฐมนตรีของอังกฤษเมื่อวานนี้ ได้เห็นชอบว่าจำเป็นต้องมีมาตรการต่อซีเรีย แม้ไม่ได้มีการแจงรายละเอียด แต่แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ย้ำว่า อังกฤษจะร่วมมือกับสหรัฐฯและฝรั่งเศสในตอบโต้ซีเรีย

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯได้ส่งสัญญาณที่สับสนต่อเรื่องนี้ ในช่วงแรกเขาประกาศว่าพร้อมโจมตีทางอากาศทันที และขู่รัสเซียว่าให้เตรียมรับมือ แต่ต่อมาเขากลับกล่าวว่ายังไม่ได้บอกว่าจะโจมตีซีเรียเมื่อไร อาจเร็วๆนี้ หรืออาจจะไม่เร็วๆนี้ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งสหรัฐฯและอังกฤษมีแสนยานุภาพทางทหารในตะวันออกกลางพร้อมอยู่แล้ว เช่นเรือพิฆาตที่บรรทุกขีปนาวุธนำวิถีของสหรัฐฯที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในขณะที่สื่ออังกฤษรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เรือดำน้ำของอังกฤษมุ่งหน้าไปยังวิถีขีปนาวุธทีใกล้ซีเรียแล้ว

ทั้งนี้ องค์กรห้ามอาวุธเคมีระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญกำลังเดินทางไปซีเรียเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เมืองดูมา ในโกตาตะวันออกซึ่งมีการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนไปอย่างน้อย 75 คน แต่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ของซีเรียปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ไม่ได้มีการใช้อาวุธเคมี และข้อหาดังกล่าวเป็นการปั้นแต่งขึ้น

ด้านคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเปิดประชุมฉุกเฉินเรื่องซีเรียรอบใหม่ตามคำร้องขอของรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรของรัฐบาลซีเรีย แต่นายแอนโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติไม่ได้ไปบรรยายสรุปด้วย ส่วนทีมผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรห้ามอาวุธเคมี (OPCW) เดินทางไปซีเรียเพื่อเริ่มตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีที่เมืองโดมา ในวันที่ 14 เม.ย.

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ นักวิชาการเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ความเห็นต่อกรณีสหรัฐฯยิงขีปนาวุธถล่มซีเรียอ้างตอบโต้รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนว่า จะทำให้สถานการณ์การเมืองโลกตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากอังกฤษและฝรั่งเศส เข้าร่วมกับสหรัฐฯด้วย และหากสถานการณ์ลุกลามบานปลายไปในอิหร่านและตุรกีซึ่งอยู่ฝั่งรัสเซียและซีเรีย จะส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งทยานเข้าใกล้ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลจากปัจจุบันอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจชะลอตัว

นอกจากนี้ยังจะกระทบกับตลาดการเงินโลกผันผวน คาดว่าไทยจะได้รับผลกระทบตามไปด้วยหลังเปิดตลาดสัปดาห์หน้าตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยหลังสงกรานต์นี้ นักลงทุนต้องเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ในตลาดการเงินที่ผันผวน เพราะมั่นใจว่าความขัดแย้งของ 2 ขั้วจะยืดเยื้อไม่ยุติลงได้ง่าย

[caption id="attachment_236527" align="aligncenter" width="640"] นายสมภพ มานะรังสรรค์[/caption]

ด้าน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาห กรรมประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ยอมรับว่าหากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจะทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์ในประเทศลดลง รวมทั้งการส่งออกรถยนต์ไปในแถบตะวันออกกลาง โดยยอมรับว่ากังวลกับสถานการณ์ความตึงเครียดจากภาวะสงครามจะยิ่งซ้ำเติมสงครามทางการค้าที่ทำให้ปริมาณการค้าโลกลดลงอยู่แล้ว

ขณะที่ช่วงกลางปีนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เตรียมปรับคาดการณ์ยอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้ใหม่ คาดว่าอาจลดเป้าหมายการผลิตลงมาต่ำกว่า 2 ล้านคัน ส่วนยอดส่งออก อาจต่ำกว่าเดิมที่ 1.1 ล้านคัน และยอดขายในประเทศต่ำกว่า 9 แสนคัน