ช่วงนี้มีข่าวแชร์มาอีกแล้วว่า “การดื่มน้ำแร่เป็นประจำ จะทำให้เป็นนิ่ว” หลายคนอาจมีคำถามอยู่ในใจว่า จริงหรือไม่? เช่น “ติดน้ำแร่....... ดื่มเพื่ออะไรไม่รู้ รู้ว่าดื่มมากจะเป็นนิ่วและไตทำงานหนัก น้ำเปล่าสะอาดดีที่สุด” หรือ “บุคคลที่ควรดื่มน้ำแร่ คือพวกวัยทอง .. วัยรุ่นเลิกดื่มซะ เดี๋ยวเป็นนิ่ว!!” “เตือนดื่มน้ำแร่ทุกวัน ทำร่างกายเสียสมดุล”
คำตอบคือไม่จริง การดื่มน้ำแร่ไม่ได้ทำให้เป็นนิ่ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มจะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ เพราะอะไร?
จากความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ส่งต่อกันในโลกสังคมออนไลน์เกี่ยวกับเรื่อง “การดื่มน้ำแร่เป็นประจำจะ
ทำให้เป็นนิ่ว” นั้น หลายคนมีคำถามอยู่ในใจว่า จริงหรือ??
คำถามนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีคำตอบให้ว่า “น้ำแร่” เป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติและมีแร่ธาตุอยู่หลายชนิด เช่น น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water) น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters) น้ำแร่แคลเซียม (calcium water) เป็นต้น แต่ละชนิดให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะดื่มน้ำแร่ได้ และไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มจะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ เพราะหากดื่มน้ำแร่โดยไม่ระวังอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ นั่นก็คือ
ส่วน “นิ่ว” เกิดจากการรวมตัวกันของผลึกของเกลือแร่หรือหินปูนจนเป็นก้อนนิ่ว มาจากความเข้มข้นของเกลือแร่ในปัสสาวะสูง เช่น ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารบางประเภทที่มีเกลือแร่ขับออกมาทางน้ำปัสสาวะมาก เช่น พวกเครื่องในสัตว์หรือพวกผักสด หน่อไม้ เป็นต้น จึงเป็นสาเหตุให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
เป็นคำตอบว่า การดื่มน้ำแร่ไม่ได้ทำให้เกิดนิ่วและไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดนิ่ว และถ้าใครไม่อยากเป็นนิ่วแนะนำให้ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง อาหารหวานมาก-เค็มมากและอาหารที่มีกรดยูริกสูง รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง
ด้านเภสัชกรหญิง ดารวี ศิริพรหม ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ การเลือกบริโภคน้ำแร่ ควรมีข้อมูลที่จะมีประโยชน์ในการเลือกประเภทน้ำแร่ ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่ สำหรับวิธีดื่มน้ำแร่ แบ่งได้ 2 วิธี
ในส่วนของนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ชนิดของน้ำแร่ | |
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate water) | มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น | |
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water) | มีปริมาณ ซัลเฟต > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟต มีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น | |
น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters) | ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี |
น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน (Sulfurous, salt-iodine, salt-bromine-iodine waters) | มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด |
น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต (Sulfurous and bicarbonate waters) | ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้ |
น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) (Chlorinated water (salt water)) | มีปริมาณคลอไรด์ > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและอิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก |
น้ำแร่แคลเซียม (calcium water) | มีปริมาณแคลเซียม > 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียมในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น | |
น้ำแร่แมกนีเซียม (Magnesium water) | มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว |
น้ำแร่ฟลูออเรด (Fluorate water) | มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่เหล็ก(Ferrous water) | มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์ |
น้ำแร่โซเดียม(Sodium water) | ปริมาณ โซเดียม > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่เกลือต่ำ(Low-salt water) | ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่คาร์บอร์นิค (Carbonic waters) | มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย |
วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?
ชนิดของน้ำแร่ | ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่ |
น้ำแร่ | ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี |
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง | ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง |
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride waters) | ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง |
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters) | ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง |
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) | ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia |
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters) | ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร |