svasdssvasds

นักลงทุนลุ้น กำลังซื้อฟื้น ดันกำไร Q3

นักลงทุนลุ้น กำลังซื้อฟื้น  ดันกำไร Q3

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

วันที่ 6-7-60-ธุรกิจรอความหวังฟื้นครึ่งปีหลัง เห็นสัญญาณกำลังซื้อที่ดีขึ้น รัฐทุ่มงบลงทุน  ความต้องการใช้สินเชื่อมากขึ้นหนุนกำไรแบงก์  กลุ่มเกษตร-อาหาร  อิเล็กทรอนิกส์ สูงสุดของปีในไตรมาส 3 

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ฉบับ 3276 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ค.2560 สื่อในเครือสปริง กรุ๊ปรายงานว่า  ในช่วงนี้ นักลงทุนรอผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดไตรมาส 2/2560 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯตั้ง แต่ปลายสัปดาห์นี้เป็นต้นไป นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ฯ คาดว่าธนาคารทั้งระบบจะมีกำไรสุทธิ 49,000 ล้านบาท เติบโต 2% จากระยะเดียวกันปีก่อน และหดตัว 2% จากไตรมาส 1/2560 โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย และทหารไทยจะมีผลงานแย่ลง 

 

[caption id="attachment_174703" align="aligncenter" width="503"] นักลงทุนลุ้นกำลังซื้อฟื้นดันกำไรQ3 นักลงทุนลุ้นกำลังซื้อฟื้นดันกำไรQ3[/caption]

นักวิเคราะห์บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ฯ ไม่แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มพอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน เพียงแต่ให้โยกออกจากหุ้นที่มีกำไร มายังหุ้นที่มี โอกาสปรับขึ้นหรือมีปัจจัย เชิงบวกรออยู่ในไตรมาส 3 เช่นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มธนาคาร ทั้งนี้กลุ่มค้าปลีกและอาหารจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ จึงแนะนำหุ้น BJC, HMPRO, CPALL, CENTEL และ MM

 

นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคม นักวิเคราะห์การลงทุนคาดการณ์ กำไรตลาดหุ้นไทยปีนี้ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโต 7% คาดดัชนีหุ้นปลายปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,620 จุด ผลตอบแทนตลาดยังอยู่ระดับ 3% นักวิเคราะห์บล.เอเซียพลัสฯ คาดอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ทำให้เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ยังคงดอกเบี้ย ถึงสิ้นปี ถือเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ส่วนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 น่าจะลดลงจากไตรมาส 1 ซึ่งทำกำไรได้ 2.85 แสนล้านบาท (คิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2560) เพราะเป็นช่วงโลซีซัน ของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งมีวันหยุดยาวหลายช่วง ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะนํ้ามัน และเหล็ก ก็ปรับตัวลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่จะต้องบันทึกขาดทุนจากสต๊อกขณะที่ไตรมาส 1 มีการบัน ทึกรายการพิเศษราว 2 หมื่นล้านบาท ภาพรวมของกำไรกลุ่มธนาคารในไตรมาส 2 แม้ไม่สดใส แต่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในงวดครึ่งปีหลัง จากความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐ ทำให้มีความต้องการใช้เงินทุนจากสถาบันการเงิน เช่นเดียวกับหุ้นก่อสร้างที่คาดว่าจะหนุนให้งานในมือ สามารถขยับขึ้นแตะ 5 แสนล้านบาทในปี 2561

 

นักวิเคราะห์บล.เอเซียพลัสฯคาดว่า กลุ่มที่จะมีกำไรในไตรมาส 2 เติบโตเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเกษตร-อาหาร จากการเริ่มเข้าช่วงฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ รวมทั้งยังเห็นสัญญาณบวกจากราคาไก่เฉลี่ยงวด ไตรมาส 2 สูงขึ้น สอดคล้องกับราคาสุกร นอกจากนี้ ยังคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงาน ไตรมาส 3 จะเติบโตต่อเนื่อง และทำระดับสูงสุดของปี 2560 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของการส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ ทั้งนี้กลุ่มชิ้นส่วนฯ จะมีกำไรปกติงวดไตรมาส 3 สู่ระดับ 3,300 ล้านบาท ทำระดับสูงสุดของปี สำหรับกลุ่มที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2 จะชะลอตัวลง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ปัจจัยหลักมาจากราคานํ้ามันที่ปรับลดลงกระทบต่อฐานรายได้ ราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ย ไตรมาส 1 อยู่ที่ 52.86 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่ไตรมาส 2 อยู่ที่ 49.33 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล และยังทำให้เกิด ขาดทุนสต๊อกด้วย ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยปกติในงวดไตรมาส 2 ถือเป็นช่วงไลว์ซีซัน และกลุ่มสื่อสาร กำไรยังอยู่ในช่วงของการถูกกดดันจากต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่อยู่ระดับสูง ขณะที่รายได้ชะลอตัวส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ในช่วงไลว์ซีซัน

 

[caption id="attachment_106648" align="aligncenter" width="377"] นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด[/caption]

ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ฯ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปี 2560 ลงมาอยู่ที่ 0.7-1.7% จากเดิมคาด 1.5-2.2% สะท้อนภาพประชาชนชะลอการใช้จ่ายในปัจจุบัน รวมถึงภาคธุรกิจที่อาจจะชะลอแผนการลงทุนในอนาคต บ่งชี้ว่าภาคอุปสงค์ในประเทศ อาจยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแออีกสักระยะ จึงแนะนำให้เลือกหุ้นกลุ่มที่มีรายได้สมํ่าเสมอ และไม่พึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจมากนัก เช่น กลุ่มสาธาร ณูปโภค ที่มีความผันผวนตํ่าและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง

 

“หุ้นที่แนะนำมี BCPG และ WHAUP จากแนวโน้มการเติบโต ส่วนหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงและคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลคือ GLOW, EGCO, RATCH รวมถึงกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็น เช่น CPALL, BJC และกลุ่มการแพทย์ เช่น BCH, CHG ส่วนกลุ่มพลังงานก็น่าสนใจ จากราคาหุ้นปรับตัวช้ากว่าตลาด และราคานํ้ามันดิบ มีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด ส่วนประเด็นการขาดทุนสต๊อกนํ้ามัน ของกลุ่มโรงกลั่น ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 นักลงทุนได้รับรู้ไปพอสมควรแล้ว โดยเลือก PTT และ PTTEP BCP, SPRC, TOP” นายณัฐชาตกล่าว

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,276 วันที่ 6 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

related