svasdssvasds

เมื่อพาสเวิร์ดไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แล้วเราจะใช้อะไรแทน

เมื่อพาสเวิร์ดไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แล้วเราจะใช้อะไรแทน

ติดตามข่าวสารwได้ที่ https://www.springnews.co.th

การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (Identity Theft) นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่แก้ไม่ตกของยุคไอที ผู้บริโภค 40 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกตกเป็นเป้าหมายการโจรกรรม และผู้บริโภค 2 ใน 5 ทั่วโลกเคยประสบเหตุการณ์หลอกลวงเข้าข่ายนี้มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และเหตุโจรกรรมทั่วโลกมีแต่จะเพิ่มขึ้น

แล้วเราจะป้องกันตัวเองอย่างไร แน่นอนว่าแนวป้องกันแรกคือการใช้พาสเวิร์ดหรือรหัสผ่าน แต่หลังๆ มานี้เราจะเห็นเหตุที่ข้อมูลทั้งหลายยังถูกโจรกรรม และยังมีกรณีที่เฟซบุ๊กออกมายอมรับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าพาสเวิร์ดของผู้ใช้อินสตาแกรมนับล้านคนถูกจัดเก็บอย่างไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ หรือยาฮูเพิ่งยอมคดีความที่ข้อมูลของผู้ใช้ราว 3 พันล้านคนสูญหาย ทั้งอีเมล คำถามเพื่อความปลอดภัย และพาสเวิร์ด

ด้านไมโครซอฟท์ประกาศว่ามีแผนที่จะยุติการใช้พาสเวิร์ด และใช้ชีวมิติ (Biometric) หรือกุญแจความปลอดภัยพิเศษ (Special Security Key) แทน และบริษัทวิจัยด้านไอที การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2022 บริษัทราว 60 เปอร์เซ็นต์และบริษัทขนาดกลางเกือบทั้งหมดจะลดการพึ่งพาการใช้พาสเวิร์ดลงครึ่งหนึ่ง

จากการสำรวจวงการธนาคารโลกล่าสุดพบว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของธนาคารได้ลงทุนกับเทคโนโลยีชีวมิติกายภาพอย่าง ลายนิ้วมือ น้ำเสียง และการจดจำใบหน้า อย่างเช่นบริษัท NatWest ได้เริ่มทดลองใช้บัตรเดบิตที่มีแถบสแกนลายนิ้วมือบนตัวบัตรแล้ว

ที่ผ่านมา เทคโนโลยีชีวมิติไม่ได้ถูกนำมาใช้มากนักเพราะติดตรงที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ แต่ด้วยเทคโลโลยีสมาร์ทโฟนล่าสุดที่สามารถสแกนลายนิ้วมือได้ เท่ากับว่าคนจำนวนมากขึ้นมีอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวมิติติดตัวตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าชีวมิติจะเป็นสิ่งที่โจรกรรมไม่ได้ เดือนกันยายนที่ผ่านมา นักวิจัยชาวจีนได้แสดงการทดลองใช้ชีวมิติจากรูปภาพลายนิ้วมือที่ถ่ายห่างจากนิ้วไปหลายเมตร

แต่บริษัทต่างๆก็ยังคงเดินหน้าหามาตรการเพื่อความปลอดภัยต่อไป โดยการใช้เทคโนโลยีหลายด้านเข้าด้วยกัน อย่างเช่นใช้ทั้งรหัสและลายนิ้วมือ และรวมไปถึงโลเคชั่น ประวัติการซื้อ อัตลักษณ์โทรศัพท์ หรือแม้แต่วิธีที่คุณถือโทรศัพท์

 

related