“บิ๊กตู่”ยังมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบร้อนให้พรรคเสนอชื่อเป็นนายกฯ

น่าจะชัดเจนว่า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเลือก “ก๊อกแรก”สำหรับการเข้าสู่เวทีการเมืองเต็มตัว คือให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นผู้มีความเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากแบะท่าเชื้อเชิญพรรคการเมืองให้เข้ามาทาบทามอย่างเป็นทางการเสียที

“ไม่จำเป็นจะต้องไปสมัครกับพรรคการเมืองใด การทาบทามก็เป็นเรื่องของการทาบทาม แต่วันนี้ยังไม่มีการทาบทามเลยสักพรรค” เป็นคำกล่าวล่าสุดต่อเรื่องนี้ของ “บิ๊กตู่” ในวัน “เดดไลน์”สุดท้ายที่คนจะลงสมัครส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง และไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง 90 วันเหมือนผู้ลงสมัครส.ส.

พล.อ.ประยุทธ์ จึงยังมีเวลาเหลือเฟือ กระทั่งถึงวันสุดท้ายของการรับสมัครส.ส.ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มือกฏหมายคนสำคัญแจกแจงกับสื่อเมื่อวันก่อน

นายวิษณุ ย้ำว่า “บิ๊กตู่” ไม่จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด เพราะพรรคการเมืองที่สามารถเสนอชื่อบุคคลจะเป็นนายกฯ พรรคละไม่เกิน 3 คน ก็ไม่ได้ระบุให้บุคคลนั้น ๆ ต้องเป็นสมาชิกพรรค

นายวิษณุ ยอมรับว่า ได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.ซึ่ง “บิ๊กตู่”น่าจะนั่งร่วมประชุมอยู่ด้วย ให้ได้รับทราบ ซึ่งเป็นข้อมูลทางกฎหมาย และเป็นข้อมูลสำหรับทุกพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ทั้งนี้ หลังพ.ร.ป.ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2561 จากนั้น จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งส.ส. และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้ว กกต. จะออกประกาศภายใน 5 วัน

ในประกาศดังกล่าว กกต.จะต้องระบุวันเลือกตั้ง วันสมัครรับเลือกตั้ง สถานที่รับสมัคร และก่อนวันสุดท้ายของการรับสมัคร ส.ส. พรรคการเมืองจะต้องเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ตั้งแต่ 1-3 คน แต่จะเสนอชื่อซ้ำกันไม่ได้

เท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องรีบร้อนเรื่องเสนอชื่อเป็นนายกฯ ขณะเดียวกัน ก็อาจใจเย็นได้มากขึ้น เมื่อได้เห็นนักการเมือง โดยเฉพาะอดีตส.ส.จากหลายขั้วหลายพรรค ทยอยเข้าสมัครและเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐ แบบหัวบันไดไม่แห้ง

เรื่องเร่งด่วนสำคัญกว่าในขณะนี้ จึงเป็นเรื่องการจัดทัพ จัดวางตัวคนดูแลในแต่ละพื้นที่ และจัดวางผู้สมัครส.ส. รวมทั้งวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เพื่อสานฝันให้บรรลุผลในทางปฏิบัติ

เพราะถึงแม้เมื่อดูจากรายชื่อและความเก๋าทางการเมือง อดีตส.ส.เหล่านี้ จะไม่เป็นสองรองใคร ทั้งยังเมื่อนับจากจำนวนหัวแล้ว ดูจะมีจำนวนมากกว่าพรรคคู่แข่งอื่นๆที่กำลังจะได้เจอกันในสนามเลือกตั้ง

แต่ยังต้องสร้างหลักประกันที่มั่นใจว่า จะกำชัยชนะศึกเลือกตั้งเสียก่อน เพื่อไม่ให้พลาดหวัง และสามารถหนุน “บิ๊กตู่” ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันด้วย ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกระแสคนรุ่นใหม่และบทบาทของโลกเทคโนโลยี่การสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างยิ่ง

ภารกิจในการวางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีการันตีสู่ความสำเร็จนี้ สำคัญกว่ากันเยอะ