แม้จะชิงจับมือ 6 พรรคลงสัตยาบรรณร่วมกัน ประกาศพร้อมจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลและคสช. ของขั้วพรรคเพื่อไทย ที่เรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
แต่คะแนนรวมที่มีอยู่เพียง 249 เสียง หรือแม้จะอ้างพรรคเศรษฐกิจใหม่ของมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นพรรคที่ 7 ซึ่งจะทำให้มีเสียงส.ส.รวมกัน 255 คน เกินกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 250 คนในสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม
แต่เสียงเพียงเท่านี้ แค่ด่านแรกคือประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ต้องใช้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภารวมกัน หรือ 376 เสียงขึ้นไป ก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว
เพราะอีก 121 เสียงนั้นไม่รู้จะไปหาเพิ่มจากที่ไหน ในเมื่อ 2 ฝ่าย 2 ขั้ว คือเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ มีเสียงส.ส.คู่คี่สูสีอย่างที่คาดคิดกันไม่ถึง แม้ว่าหลังจากกกต.จะเปิดเผยผลคะแนนและตัวเลขส.ส.ระบบเขตครบทั้ง 350 เขตออกมาแล้ว และมีพรรคเล็กพรรคน้อยอีกร่วมสิบพรรคที่จะได้ส.ส.จากระบบบัญชีรายชื่อ แต่เกือบทั้งหมดมีจำนวนส.ส.1-3 คนเท่านั้น
แม้จับพลัดจับผลูดึงมาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรได้ แต่จำนวนส.ส.ก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมมากมาย และยังอยู่ในภาวะ “สุ่มเสี่ยง”จะขาดเสถียรภาพอย่างน่าหวาดเสียว
เว้นแต่จะเกิดกรณี “งูเห่า”ซ้ำรอยการเมืองไทยเป็นครั้งที่ 3 สัก 10-20 เสียง ซึ่งที่มาที่ไปก็ไม่แคล้วไปดึงจากพรรคการเมืองในขั้วตรงกันข้าม
หรืออีกกรณีหนึ่ง คือดึงพรรคตัวแปรสำคัญอย่างพรรคภูมิใจไทยมาอยู่ร่วมขั้วเดียวกันให้ได้ แต่ก็ยังไม่ถึง 376 เสียงอยู่ดี ต้องดึงพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมเสริมอีก 1 พรรคจึงจะพอมีหวังขึ้นมาบ้างแต่ในความเป็นไปได้มีเพียงริบหรี่อยู่ดีแม้จะมีกระแสข่าวลือถึงขั้นพร้อมประเคนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้
สถานการณ์ของขั้วพรรคเพื่อไทยขณะนี้ ในทางกลับกัน จึงอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมสุ่มเสี่ยงต่อการรักษาความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมลงสัตยาบรรณ แต่หากแย่กว่านั้น คือการก่อเกิด “กลุ่มงูเห่า”ในพรรค ที่พร้อมแหกมติพรรคไปสนับสนุนขั้วตรงข้ามได้ทุกเมื่อ
ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ รวมไปถึงพรรคการเมืองอื่นๆ และพรรคเล็กพรรคน้อย ล้วนมีพลิกผันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ขณะที่ขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่หนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกหนึ่งสมัย แม้จะยังซุ่มเงียบไม่ขยับขับเคลื่อนอะไรเพื่อช่วงชิงตั้งรัฐบาล แต่ภาพรวมโดยทั่วไป ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสมากกว่าขั้วพรรคเพื่อไทยสักเท่าไหร่
เพราะอย่างที่ทราบกัน อัพเดทล่าสุดของจำนวนส.ส.จากกกต. จะมีพรรคเล็กพรรคน้อยแจ้งเกิดส.ส.ได้ไม่น้อยกว่า 12-13 พรรค การจะดึงเพื่อเพิ่มเสียงส.ส.ให้กับพรรคขั้วพรรคพลังประชารัฐ ก็ใช่ว่าจะได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งการมีพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลมากเกินกว่าสิบพรรค จะมีผลต่อเสถียรภาพและการเจรจาต่อรองตำแหน่งทางการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทางเดียวที่จะสร้างศักยภาพและก่อให้เกิดความมั่นใจว่ารัฐบาลอยู่ได้แน่ๆ คือต้องมีเสียงของ “กลุ่มงูเห่า”เข้ามาเติม
ขั้วพรรคพลังประชารัฐ จะได้เปรียบตรงที่ด่านแรกการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนาบยกรัฐมนตรี เพราะจะมีเสียงส.ว. 250 คนอยู่ในมือ และมีแนวโน้มว่าส่วนใหญ่จะหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เท่ากับต้องการส.ส.อีกเพียงแค่ 126 คน
แนวคิดของแกนนำในพรรคเห็นว่า เมื่อได้เก้าอี้ผู้นำรัฐบาลแล้ว การเติมจำนวนส.ส.เพิ่ม โดยดึงและดูดจากขั้วตรงข้าม ไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะโดยธรรมชาตินักการเมืองมักไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน เมื่อมีหลายปัจจัยมาล่อ ทั้งเงิน ผลประโยชน์ และตำแหน่งทางการเมือง มีเค้าลางตาลุกตาวาวได้
ทางพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ จึงเตรียมหาวิธีการสกัดการเกิดของกลุ่มงูเห่าเป็นพัลวันอยู่ในขณะนี้ โดยจะให้ลงสัตยาบรรณร่วมกัน รวมทั้งอ้างเรื่องพ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 46 ที่กำหนดห้ามใครเรียกรับผลประโยชน์หรือหวังตำแหน่ง จะมีความผิดโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นยันต์กันเกิดงูเห่า
แต่คำถามสำคัญคือ จะสกัดได้สำเร็จหรือไม่
ต้องไม่ลืมด้วยว่า หากการตั้งรัฐบาลทำไม่ได้ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะทำหน้าที่รักษาการต่อไปเรื่อยๆ