svasdssvasds

 ฝ่าทฤษฎี 3 ก๊กส่ง “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯหน 2

 ฝ่าทฤษฎี 3 ก๊กส่ง “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯหน 2

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

ความอลังการ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำวันที่ 19 ธันวาคม 2561 จากการจัดงานระดมทุนหาเงินเข้าพรรคของพรรคพลังประชารัฐ ที่อิมแพ็ค ฟอรั่ม ฮอลล์ 9 ในรูปแบบโต๊ะจีน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท รวม 600 ล้านบาท ถือว่าไม่ธรรมดา

เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า ชั่วโมงนี้พรรคพลังประชารัฐมาแรงที่สุด โดยมีกลุ่มทุนนักธุรกิจ ต่างให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ภาพที่ปรากฏทั้งบนสื่อหลักและสื่อโซเชียล สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับประชาชนทั่วไปได้

ขณะเดียวกัน ก็สร้างความอุ่นใจให้กับนักการเมืองกลุ่มก๊วนต่างๆ ที่เปิดตัวและเดินเข้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงอย่างไรเสียไม่อัตคัตเรื่องทุนหาเสียงแน่นอน และยังเป็นการขู่พรรคและผู้สมัครคู่แข่งกลายๆไปในตัว

แต่กระนั้น พรรคพลังประชารัฐก็ต้องมียุทธศาสตร์และเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ให้สำเร็จ หาไม่แล้ว เท่ากับลงทุนเสียเปล่า และเป็นการ “เสียของ”ครั้งสำคัญ

เพราะการเมืองไทยขณะนี้ แม้กูรูการเมืองทั่วไปจะฟันธงว่า มีเพียง 2 ขั้ว คือขั้วหนุนกับขั้วไม่หนุน “บิ๊กตู่” แต่หากดูจากการประกาศจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์จากปากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคแล้ว ยังย้ำว่าการเมือง เป็นแบบ “สามก๊ก” ไม่ใช่ “สองก๊ก”

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่พูดเรื่องนี้หลายครั้ง ย้ำว่า หากการเมืองยังเป็นแบบ “สามก๊ก” จะไม่มีพรรคการเมืองขั้วไหนจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหลังการเลือกตั้ง

หนทางเดียวที่จะตั้งรัฐบาลได้ คือต้องให้เหลือ 2 ก๊ก นั่นหมายถึงว่า 2 ก๊กใน 3 ก๊กจะต้องจับมือร่วมกันให้ได้ และจะกลายเป็นขั้วเสียงข้างมาก ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูการเลือกตั้ง 4 ครั้งหลังสุด นับตั้งแต่ปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ ชินวัตร ส่งคนลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรก ได้ ส.ส.2 ระบบรวมกัน 248 คน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 128 คน รวมกัน 376 คน จาก ส.ส.ทั้งสภา 500 คน (จากส.ส.เขต 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน)

เลือกตั้งปี 2548 ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นครั้งที่ 2 พรรคไทยรักไทยชนะแบบถล่มทลาย 377 คน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพียง 96 คน รวมกัน 473 คน จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 คน

เลือกตั้งปี 2550 ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 2550 พรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค ชนะเลือกตั้ง ได้ ส.ส.233 คน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เปลี่ยนหัวหน้าพรรคคนใหม่เป็นนายอภิสิทธิ์ ได้ ส.ส.165 คน รวมกัน 398 คน จาก ส.ส.ทั้งสภา 480 คน (ส.ส.เขต 400 คน และแบบสัดส่วน 80 คนจาก 8 เขตเลือกตั้ง)

ล่าสุด ปี 2554 พรรคเพื่อไทยที่ชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.265 คน ประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.159 คน รวมกัน 424 คน จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 คน (ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน)

จากตัวเลขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า 2 พรรคการเมืองใหญ่ เมื่อรวมกันแล้ว จะมีจำนวน ส.ส.เกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน ส.ส.ทั้งสภาฯทุกครั้ง จึงถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพรรคพลังประชารัฐ แม้ในเลือกตั้งปี 2562 จะสามารถดึงและ “ดูด”อดีตส.ส.จาก 2 พรรคใหญ่มาร่วมทัพได้จำนวนไม่น้อยก็ตาม

เพราะในพื้นที่ที่ประชาชนเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมือง หรือคนที่พวกเขาศรัทธาที่ยืนเป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลังแล้ว โอกาสที่ 2 พรรคใหญ่จะสามารถรักษาเกณฑ์จำนวน ส.ส.ไม่ให้ต่ำจากเดิมมากนัก ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ ยังไม่นับรวมยุทธศาสตร์ “แยกกันตี ร่วมกันเดิม”ของขั้วพรรคเพื่อไทย เพื่อรับมือการเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม”ที่ออกแบบมาเพื่อสกัดพรรคการเมืองใหญ่โดยเฉพาะ

พรรคพลังประชารัฐ จึงต้องใช้ยุทธศาสตร์สลายลดทอนกำลังของ 2 พรรคใหญ่ เพื่อหวังให้มีจำนวน ส.ส.น้อยลงกว่าเดิมให้มากที่สุด เพื่อกุมความได้เปรียบบนเวทีเลือกตั้ง

ขณะเดียวกันก็หวังให้อานิสงส์มาตรการและโครงการช่วยเหลือประชาชนในช่วง 2 เดือนหลังของรัฐบาล โดยเฉพาะการอัดฉีดเงินผ่านผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ก่อให้เกิดมรรคผลต่อพรรคให้มากที่สุดเช่นกัน

การประกาศจะกวาด ส.ส. 150 คน โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หนึ่งในแกนนำพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่ใช่คำพูดลอยๆหรือสถานการณ์พาไป แต่เป็นตัวเลขที่พรรคพลังประชารัฐคิดคำนวณแล้ว และจะต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นแกนหลักของขั้วการเมืองที่จะสนับสนุน “บิ๊กตู่” สู่เก้าอี้นายกฯหนที่ 2 จากนั้นค่อยไปดึงเสียง ส.ส.จากพรรคทางเลือก หรือพรรคที่พร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ให้ได้อีกอย่างน้อย 50-60 คน และเมื่อรวมกับ ส.ว.250 เสียงที่ขั้นตอนสุดท้าย คสช.จะเป็นคนเคาะเลือก จะทำให้การโหวตเสียงเลือกนายกฯจากก๊อกแรก ผ่านพ้นไปได้ ด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 376 เสียง

หากผ่านพ้นขั้นตอนนี้ไปได้ เรื่องที่จะไปดึง ส.ส.จากพรรคอื่นมาเติมเต็มให้ได้มากกว่า 251 คนในสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสุดท้าย พรรคการเมืองหรือนักการเมืองล้วนแต่อยากอยู่ฝ่ายรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้านทั้งสิ้น เผลอๆอาจเกิดกรณี “กลุ่มงูเห่า”ภาคใหม่ก็เป็นได้

เป็นแนวทางเดียวที่พรรคพลังประชารัฐ จะต้องทำให้ได้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องย่อยสลายจาก 3 ก๊ก เหลือ 2 ก๊ก

related