"เคนโด้" พร้อมทนายเจมส์ เข้าพบตำรวจ ปอท. แจ้งความเอาผิด แม่ทีมอาหารเสริมลดน้ำหนัก LYN หลังมีการตัดต่อคลิปเสียงจนทำให้ประชาชน ความเข้าใจผิด
นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ "เคนโด้" ผู้ประกาศข่าว พร้อมด้วย นายนิติธร แก้วโต หรือ "ทนายเจมส์" ทนายความ นำหลักฐานการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กและคลิปเสียงที่ถูกตัดต่อ เข้าพบพ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้กำกับการ กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับแม่ทีมอาหารเสริมลดน้ำหนัก LYN (ลีน) หลังพบว่ามีการตัดต่อคลิปเสียงเพื่อสร้างความเข้าใจผิดและก่อให้เกิดความเสียหาย ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (1) นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
นายเกรียงไกรมาศ เล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจาก ช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีประชาชนส่งข้อมูลมาให้ตนเกี่ยวกับอาหารเสริม LYN (ลีน) เป็นเลข อย. ไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ และ เลข ฮาลาล เป็นเลขของผลิตภัณ์น้ำปลาชนิดหนึ่ง จึงได้พยายามติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์เจ้าของแบรนด์แต่เจ้าของแบรนด์บอกไม่สะดวก ทำให้ต้องไปสัมภาษณ์แม่ทีมคนหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ชื่อ น.ส.มณิตา รัตนเกษมชัย หรือ เอ๋ โดยมีการพูดคุยกันประมาณ 28 นาที พร้อมขออนุญาตบันทึกเสียงโทรศัพท์เพื่อนำไปออกข่าว แต่เมื่อคุยสัมภาษณ์เสร็จ น.ส.มณิตา แม่ทีมรายนี้กลับไม่ยินยอมให้เอาไปออกอากาศเผยแพร่ ตนจึงไม่มีการนำเสนอข่าวประเด็นดังกล่าว
จากนั้น 2-3 วันต่อมา น.ส.มณิตา กลับนำคลิปเสียงสนทนาที่แอบบันทึกไว้ ไม่ได้ขออนุญาตตน นำไปตัดเฉพาะท่อนแรกยาวประมาณ 3 นาที ที่เป็นการพูดคุยในลักษณะเกี่ยวกับการทำข่าวที่เป็นกลาง อันเป็นประโยชน์กับตัวของแม่ทีมรายนี้เท่านั้นไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ "Manita Rattanakasemchai (Marnie)" และถูกโยงเป็นตัวกลางแก้ตัวให้กับ เพจดอกจิก ที่ได้โจมตีเกี่ยวกับอาหารเสริมชนิดต่างๆ ซึ่งจริงแล้วตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าว เพียงแค่นำเสนอข้อมูลตามหน้าที่ของสื่อมวลชนเท่านั้นเพื่อเตือนผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังมีการคอมเม้นท์ด่าทอว่าไม่มีจรรยาบรรณและเคลียร์ปัญหาให้กับเพจดอกจิก
"ส่วนคลิป 3 นาทีถูกตัดต่อนั้นพบว่าเป็นคำพูดลักษณะการสนับสนุนสินค้า ขายสินค้าอาหารเสริมลีน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและสร้างความเสียหายได้ ทั้งนี้ ทราบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้จับกุมและยุติจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว"
เบื้องต้น พนักงานสอบสวน บก.ปอท. รับเรื่องแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำส่งผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ และจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป