ผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่โอดีแคปปิตอล หอบหลักฐาน ร้อง ปปง.อายัดทรัพย์สินแม่ข่าย
ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย พร้อมผู้เสียหายจากคดีแชร์ลูกโซ่โอดีแคปิตอลเข้าร้องทุกข์ขอคุ้มครองสิทธิรับเงินคืนกับ พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.เพื่อให้ใช้อำนาจตามมาตรา 49 วรรคท้าย หลังที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีการอายัดทรัพย์สินของแม่ทีมและกลุ่มโอดีแคปปิตอลไว้100กว่าล้านบาททางผู้เสียหายจึงเดินทางมาให้ปากคำในวันนี้
คดีนี้เลขาธิการปปง.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งที่เจ้าหน้าที่เพิ่มเติม 392/2561โดยมี ร.ต.อ.ไพรัตน์ เทศพานิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและยุทธศาสตร์ เป็นหัวหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนสืบสวนเพื่อดำเนินการต่อไปในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับผู้เสียหายขอให้มาคุ้มครองสิทธิภายใน 16 สิงหาคม 2561 นี้เท่านั้น
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2561 ที่ผ่านมาคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินบริษัทโอดีแคปปิตอลจำกัดกับพวกมูลค่ากว่า100ล้านบาทตามความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. 2542โดยพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดนั้นได้รวมกลุ่มบุคคลตั้งบริษัทในชื่อบริษัทโอดีแคปปิตอลจำกัดจากนั้นได้จัดทำและเสนอแผนการลงทุนชักชวนให้ประชาชนมาเป็นสมาชิกร่วมลงทุนทำธุรกิจเก็งกำไรเช่นซื้อขายเงินตราต่างประเทศร้านค้าจิวเวลรี่เป็นต้นอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนแก่สมาชิกที่ร่วมลงทุนในอัตราร้อยละ 5 – 10 ต่อเดือนซึ่งสูงกว่าปกติทั่วไปนอกจากนี้ยังมีการจัดสัมมนาตามสถานที่ต่างๆเพื่อโฆษณาเชิญชวนสร้างความเชื่อมั่นและน่าสนใจโดยอ้างว่าบริษัทกำลังเข้าตลาดหุ้นที่ต่างประเทศทำให้มีผู้สนใจร่วมลงทุนจำนวนมากผ่านทางแม่ทีมและเครือข่าย
ต่อมาพบว่าบริษัทโอดีแคปปิตอลจำกัดกับพวกไม่มีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่สมาชิกตามที่อ้างและสมาชิกไม่สามารถถอนเงินที่ลงทุนไปออกมาได้ทำให้ได้รับความเสียหายและจากการตรวจสอบยังพบว่าบริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจโดยไม่มีใบอนุญาตอีกด้วย ทั้งนี้คดีดังกล่าวมีผู้เสียหายมาร้องเรียนต่อสำนักงานปปง.จำนวน23รายรวมมูลค่าความเสียหายประมาณ6,000,000บาทบางรายมีหนี้สินจากการกู้หนี้ยืมสินไปลงทุนทางสำนักงานปปง.เห็นว่าหากปล่อยให้กลุ่มผู้กระทำความผิดหลอกลวงประชาชนไปเรื่อยๆจะเกิดความเสียหายต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจร้ายแรงจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายทันทีขณะที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้รับเรื่องดังกล่าวไว้เป็นคดีอาญาแล้ว