ดีเดย์สิ้นเดือนนี้ ศาลยุติธรรมสตาร์ท ส่งหมายจับเรียลไทม์

นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแถลงผลการดำเนินงาน ตลอดปี 2561 ของศาลยุติธรรมทั่วประเทศ โดยบอกว่า ในปีที่แล้วมีคดีเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นมากถึงกว่า 1 ล้าน 8 แสนคดี พิจารณาแล้วเสร็จประมาณ 1 ล้าน 6 แสนกว่าคดี ส่วนศาลอุทธรณ์มีคดีรับไว้พิจารณาประมาณ 60,000 คดี และศาลฎีกาประมาณ 23,000 คดี โดยคดีใหม่ที่มีการรับไว้พิจารณา 5 อันดับแรก พบว่าเป็นคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดมากที่สุดจำนวน 340,000 กว่าคดี รองลงมาเป็นคดีสินเชื่อบุคคล ประมาณ 250,000 คดี คดีจราจรทางบก ประมาณ 180,000 คดี คดีบัตรเครดิต 169,000 คดี และคดีหนี้กยศ. 166,000 กว่าคดี

ส่วนการนำกำไลข้อมือและกำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เครื่อง EM ไปใช้ควบคุมผู้กระทำผิดกฎหมายแทนการคุมขังที่มีใช้อยู่ในศาล 164 แห่ง มีการติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้ว 6,521 ครั้ง โดย 6 อันดับคดีที่ถูกนำไปใช้มากที่สุดได้แก่ คดีเกี่ยวกับยาเสพติด , ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ , พ.ร.บ.จราจรทางบก , ความผิดอื่นๆ เช่น ความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการ, พ.ร.บ.เช็ค ,ความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน

ส่วนแนวทางการพัฒนาไปสู่การเป็นศาลดิจิทัลในปี 2563 ที่ได้มีการดำเนินการไปส่วนหนึ่งแล้วเช่น การยื่นส่งเอกสารคำคู่ความผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ , การชำระเงินผ่านระบบอี-เพย์เมนท์ , ระบบบริการข้อมูลคดีศาลยุติธรรม สำหรับติดตามข้อมูลคดี , การเชื่อมโยงข้อมูลคดีระหว่างศาลเพื่ออำนวยความสะดวกในการพิจารณาคดี เป็นต้น

นอกจากนี้สำนักงานศาลยุติธรรมยังได้พัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างศาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น หมายจับ ไปยังผู้รับผิดชอบ หรือตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ทันทีที่ศาลได้อนุมัติหมายจับ เพื่อประโยชน์ในการใช้จับกุมผู้ต้องสงสัยที่เตรียมหลบหนีคดี

โดยเรื่องนี้ได้มีการหารือกับตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปแล้ว และศาลพร้อมให้มีการเชื่อมต่อระบบได้ทันภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ ส่วนข้อกังวลเรื่องข้อมูลสำคัญอาจถูกแฮกเกอร์นำไปเผยแพร่หรือไม่ ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยเฉพาะการวางระบบเป็นแบบควบคุมภายใน ไม่ใช้ระบบเว็บเซอร์วิส ก็จะทำให้แฮกเกอร์ลงมือได้ยากขึ้น อีกทั้งผู้ที่จะเข้าดูข้อมูลส่วนนี้ได้มีการจำกัดจำนวนไว้ ไม่ใช่ข้อมูลเผยแพร่ต่อสาธารณะชน เชื่อว่าจะไม่กระทบสิทธิตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการเผยแพร่หมายจับผู้ต้องหา เป็นดุลยพินิจของตำรวจที่จะพิจารณา ซึ่งต้องไม่ละเมิดกฎหมาย