สองเด็กลูกครึ่งผวาแม่ขอรอพ่อ แม่อ้างดุด่าตามปกติ พม.รับดูแล [คลิป]

จากกรณีที่เมื่อคืนที่ผ่านมา มูลนิธิรณสิทธิ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เข้าพบตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ ดส. เพื่อขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัย เด็กลูกครึ่งสองคน ที่มีพลเมืองดีพบว่ามีการเดินอยู่ภายในซอยมิสทีน หรือซอยรามคำแหง 160 เขตสะพานสูง เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดย พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ ผู้กำกับการดส. ระบุว่า จากการสอบปากคำเด็กทั้ง 2 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ทราบว่า เด็กทั้งสองรายคือ เด็กลูกครึ่งไทย -สวิตเซอร์แลนด์ ที่เคยปรากฏเป็นข่าวตกจากห้องพักย่านรามคำแหงพร้อม พี่น้องรวม 4 ราย ทำให้พี่น้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ราย ส่วนเด็กทั้ง 2 คน ได้รับบาดเจ็บ และอยู่ในความดูแลของมารดาเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว

ซึ่งในครั้งนี้ได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อตามหาพ่อที่เคยอาศัยอยู่ในซอยดังกล่าว แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับหาไม่พบ จึงยังวนเวียนอยู่ภายในซอยจนมีพลเมืองดีไปพบ ส่วนเหตุที่หนีออกจากบ้านเด็กทั้ง 2 คนอ้างว่า เพราะถูกแม่ทำร้ายร่างกายจากเรื่องที่ทำความสะอาดห้องไม่เรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกแต่ถูกทำร้ายร่างกายมาแล้วหลายครั้ง

ต่อมาแม่และยายของเด็กทั้งสอง ได้เข้าพบตำรวจ ดส. เพื่อให้ข้อมูลและขอรับเด็กทั้ง 2 คนกลับไปดูแล  ซึ่งแม่และยายยืนยัน ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเด็ก แต่ยอมรับว่ามีการดุด่าตามปกติ และไม่ได้เสพยาเสพติด  แต่เด็กทั้ง 2 คน ได้ตัดสินใจขอไปอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ พม.ชั่วคราวระหว่างรอบิดาเดินทางกลับจากทำธุระในต่างประเทศ ส่วนเรื่องการดำเนินคดี เนื่องจากยังไม่พบข้อมูลว่าเด็กทั้ง 2 คน ถูกทำร้ายร่างกายจริงหรือไม่ จึงต้องรอให้มีการซักถามเรื่องนี้อย่างละเอียด ก่อนดำเนินการหาทางออกในเรื่องนี้ต่อไป

ด้านนายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่าภายหลังจากที่ทาง พม. รับตัวเด็กทั้งสองมาเมื่อคืน ได้ดูแลเด็กทั้ง 2 เป็นอย่างดี เด็กมีอาการกลัวแม่จึงได้ประสานไปทางแม่ของเด็กทั้งสอง ขออย่าพึ่งเข้าเยี่ยมหรือพบลูกทั้งสอง เพราะเด็กมีความกลัว โดยต่อจากนี้ทาง พม. จะรอให้พ่อของเด็กทั้งสองที่เป็นชาวต่างชาติ เดินทางกลับมาในช่วงประมาณ วันที่ 7-8 เมษายน หลังจากนั้นจะมีการเชิญทั้งพ่อและแม่มาเจรจากันอีกครั้ง

เบื้องต้นคาดว่าจะให้เด็กอยู่ในความดูแลของพ่อ เพราะต้องยึดตามความต้องการของตัวเด็กเป็นหลัก  แต่อาจจะต้องตรวจสอบความพร้อมของพ่อชาวต่างชาติอีกครั้ง เพราะทราบว่ามีครอบครัวใหม่ และยังไม่ทราบว่าจะสามารถดูแลเด็กทั้งสองได้หรือไม่ จึงต้องรอการเจรจาร่วมกัน เพราะหากฝ่ายพ่อชาวต่างชาติดูแลไม่ได้ และฝ่ายแม่ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะต้องให้ญาติของฝ่ายพ่อและแม่ มาร่วมเป็นผู้ดูแลก่อน แต่หากไม่มีใครที่สามารถดูแลได้ เด็กก็จะอยู่ในการดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชนไปก่อน เมื่อทางครอบครัวพร้อมแล้วก็จะส่งให้ทางครอบครัวดูแล ซึ่งทางกรมกิจการเด็กและเยาวชนจะเลือกให้เด็กได้อยู่กับทางครอบครัวเป็นหลัก