svasdssvasds

เปิดคำให้การ 4 พยาน ปากสำคัญคดีบรรยินกับพวก“อุ้มฆ่าพี่ผู้พิพากษา”

เปิดคำให้การ 4 พยาน ปากสำคัญคดีบรรยินกับพวก“อุ้มฆ่าพี่ผู้พิพากษา”

อัยการขอสืบพยานล่วงหน้าในคดีที่ พ.ต.ท.บรรยินและพวก ผู้ต้องหา “อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา” พยานใกล้ชิด 4 ปากซัด พ.ต.ท.บรรยินกับพวก ใช้ซื้อซิมการ์ดกับน้ำมัน 20 ลิตร

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรีได้ออกนั่งบัลลังก์สืบพยานล่วงหน้า ตามที่อัยการยื่นคำร้องขอ ในคดีที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ต้องหาที่ 1, นายมานัส ทับนิล อายุ 67 ปี ผู้ต้องหาที่ 2, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาที่ 3, นายชาติชาย เมณฑ์กูล  31 ปี ผู้ต้องหาที่ 4 , นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาที่ 5, ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปีผู้ต้องหาที่ 6 ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอาวุโสศาลอาญากรุงเทพใต้เจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง

 

 

สำหรับการนัดสืบพยานล่วงหน้าครั้งนี้ พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่ 1 แต่งตั้ง นายบัญชา ชัยจำ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีโอนหุ้นนายชูวงษ์ (ศาล อาญากรุงเทพใต้) และคดีฆาตกรรมนายชูวงษ์ (ศาล อาญาพระโขนง) เป็นทนายความในคดีนี้ด้วย ส่วนผู้ต้องหาที่ 2-3 ยังไม่มีทนายความ ผู้ต้องหาที่ 4-6 ได้แต่งตั้งทนายความเข้ามาเพื่อร่วมซักค้านการสืบพยานล่วงหน้าเช่นกัน

 

 

ขณะที่ศาลได้ชี้แจงให้ผู้ต้องหาได้ทราบถึงระบบการพิจารณาคดีในศาลอาญาคดีทุจริตด้วยว่าเป็นระบบไต่สวนที่ผู้พิพากษาองค์คณะ จะเป็นผู้ถามคำถามกับพยานเองเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง โดยให้สิทธิอัยการและทนายความ รวมทั้งผู้ต้องหา ขออนุญาตศาลซักถามเพิ่มเติมและซักค้านพยานที่นำมาสืบนี้ได้ด้วย ส่วนผู้ต้องหาที่ 2-3 ซึ่งยังไม่มีทนายความมาศาลในวันนี้โดยอยู่ระหว่างการแต่งตั้งทนาย การสืบพยานล่วงหน้าวันนี้ศาลจะเป็นผู้ตั้งคำถามให้เองก่อนเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย

 

 

จากนั้นทางอัยการได้นำพยานเข้าเบิกความรวม 4 ปาก คือ ชายชาว อายุ 29 ปี , หญิงชาวเมียนมา อายุ 39ปี ,ชายชาวเมียนมา และพนักงานหญิงชาวไทย  ทั้งนี้เหตุที่ต้องมีการร้องขอสืบพยานล่วงหน้าเพราะพยานมีเชื้อชาติต่างด้าวอาจเป็นการยากถ้าต้องติดตามตัวมาให้ปากคำในอนาคต และเกรงว่าพยานจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไป อีกทั้งข้อสำคัญคือพยานมีความใกล้ชิดกับตัวผู้ต้องหาและครอบครัวเนื่องด้วยเป็นลูกน้องที่อยู่ใต้การปกครองมาโดยตลอด

 

 

สำหรับการยื่นคำร้องขอสืบพยานล่วงหน้า อัยการได้ขอให้ศาลสืบพยานด้วยระบบ Video Conference แยกห้องระหว่างพยาน กับผู้ต้องหาทั้ง 6 ด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเผชิญหน้ากัน ทั้งนี้พยานทั้ง 4 ยืนยันว่าไม่มีข้อขัดแย้ง หรือปัญหาส่วนตัวกับผู้ต้องหาทั้งหมด

 

 

พยานปากแรกถูกใช้ไปซื้อน้ำมัน 20 ลิตร  พยานปากแรกเป็นชายสัญชาติเมียนมา อายุ 29 ปี อ้างว่ามีความใกล้ชิดกับผู้ต้องหาที่ 3 ให้การว่า ในวันที่ 2 ม.ค.63 เวลา 13.00 น. ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ใช้ให้ไปซื้อน้ำมันเบนซิน95 ที่ปั๊มแห่งหนึ่งย่านบ่อนไก่ จำนวน 20 ลิตร  ในราคา 460 บาท เขาบอกอีกว่าที่ผ่านมาได้รับการไหว้วานให้ไปซื้อน้ำมันเป็นประจำ 20-30 บาท ไม่เคยซื้อในปริมาณที่มากขนาดนี้ ภายหลังจากการซื้อน้ำมันถังน้ำมันดังกล่าวเกิดรั่วจึงได้ทำการถ่ายน้ำมันไปอีกถังก่อนจะส่งมอบให้ผู้ต้องหาที่3 และกลับที่พักของตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน โดยพยานกล่าวว่าไม่ได้สอบถามว่าจะนำน้ำมันดังกล่าวไปทำอะไร

 

พยานปากที่สองซัด “เมียบรรยิน” สั่งซื้อซิมการ์ด พยานปากที่สองหญิงอายุ 39 ปี สัญชาติเมียน มาเป็นผู้ที่ทำงานภายในบ้านของพ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่ 1ให้การว่าใน 5 ม.ค. 63 ได้รับคำสั่งจากนางวราภรณ์ ภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 ให้ไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเธอได้ให้สามีชาวกะเหรี่ยงของเธอเป็นคนเดินทางไปซื้อ และซื้อมาแล้ว4ครั้ง ครั้งละ1ซิมแต่ไม่เคยถามว่านางวราภรณ์จะนำซิมการ์ดไปใช้เพื่อทำอะไร ระหว่างการเบิกความ ศาลได้ให้พยานรายที่2ดูภาพถ่ายของผู้ต้องหาทั้งหมดซึ่งพยานยืนยันว่ารู้จักและเคยพบนายมานัส ผู้ต้องหาที่ 2 เพราะเป็นคนขับรถของผู้ต้องหาที่1 และนายณรงค์ศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 3เคยเห็นเข้ามาช่วยงานภายในบ้าน

 

พยานปากที่สามรับเป็นคนไปซื้อซิมการ์ดทุกครั้ง ชายสัญชาติเมียนมา สามีพยานปากที่2 ทำงานก่อสร้างบริษัทของน้องชายนางวราภรณ์ ให้การว่าเป็นผู้ที่ซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือตามคำสั่งของนางวราภรณ์ที่สั่งผ่านภรรยาของตัวเองจริง ที่ผ่านมาจะซื้อที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือ แต่ในวันที่ 5 ม.ค.63 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ซื้อผ่านร้านสะดวกซื้อเพราะร้านโทรศัพท์ปิด โดยทุกครั้งที่ซื้อเสร็จจะนำซิมไปให้ภรรยาของตัวเองและไม่เคยถามเหตุผลของการซื้อ

 

พยานปากที่สี่ใช้ชื่อตัวเองจดทะเบียนซิมการ์ดให้ พ.ต.ท.บรรยินใช้  พยานปากที่สี่หญิงชาวไทยเป็นพนักงานในบริษัทของนางวราภรณ์ ซึ่งปรากฎชื่อเป็นผู้จดทะเบียนซิมการ์ดที่ผู้ต้องหาที่1 ใช้งาน ให้การต่อศาลว่าได้รับคำสั่งจากนางวราภรณ์ให้ใช้ชื่อตัวเองไปจดทะเบียนซิมการ์ดทั้งหมด 3 เบอร์ ไม่เคยตั้งข้อสงสัยว่าทำไมต้องใช้ชื่อตัวเองจดทะเบียนเพียงทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายเท่านั้น ยอมรับว่าไม่เคยทราบมาก่อนว่าหนึ่งในเบอร์ที่จดนั้น ผู้ต้องหาที่1เป็นผู้ใช้งาน จนกระทั่งเบอร์ดังกล่าวขาดการชำระค่าบริการรายเดือน ซึ่งต่อมานางวราภรณ์ได้ให้เธอไปทำการชำระพร้อมย้ายที่อยู่จัดส่งใบแจ้งหนี้ให้เป็นที่บริษัทจากเดิมที่เป็นที่อยู่ของพยานปากที่สาม และกล่าวว่า “ถ้าไม่ไปเปลี่ยน เดี๋ยวโทรศัพท์นายโดนตัด”ซึ่งขณะนั้นพยานมั่นใจว่าพ.ต.ท.บรรยินเป็นผู้ใช้งานเบอร์ที่ตัวเองจดทะเบียน

 

 

หลังจากนั้นวันที่ 20 มกราคม 2563 นางวราภรณ์ได้ให้พยานรายที่สี่ไปปิดใช้งานเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวโดยอ้างว่าโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวสูญหายและหลังจากนั้นวันที่ 22 มกราคม ก็ได้ให้พยานรายที่สี่ไปยื่นขอซิมการ์ดใหม่โดยใช้เบอร์โทรศัพท์เดิมที่ศูนย์บริการในห้างแห่งหนึ่งจ.นครสวรรค์  ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยิน ขออนุญาตศาลใช้สิทธิซักถามพยานปากนี้ด้วยว่า พยานทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสำนักงานนั้น แล้วพยานรู้หรือไม่ว่าส่วนที่พยานได้ทำงานอยู่ก็เป็นพนักงานบันทึกข้อมูลเกม พนันออนไลน์และหวยใต้ดิน พยานตอบว่าไม่ทราบ

 

 

ระหว่างการเบิกความ ศาลได้ให้พยานรายที่สี่ดูภาพถ่ายของผู้ต้องหาทั้งหมดซึ่งพยานยืนยันว่าเคยพบนายมานัส ผู้ต้องหาที่ 2 เพราะเป็นคนขับรถของผู้ต้องหาที่1 ,นายณรงค์ศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 3เคยเห็นเข้ามาช่วยงานภายในบ้าน,นายชาติชาย ผู้ต้องหาที่ 4 และ ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด ผู้ต้องหาที่ 6 ภายในบ้านของพ.ต.ท.บรรยิน

related