"กรณ์" แนะรัฐผลักดันงบประมาณปี 63 กระจายรายได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

(1 กุมภาพันธ์ 63) สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารสื่อสารมวลชนระดับสูงด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสส.) รุ่นที่ 9 จัดสัมนาประเด็นร้อนแห่งปี "How to รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง" ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บมจ.อสมท.

ภายในงานมีวิทยากรเข้าร่วมงานสัมนา ได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายปณิธาน วัฒนายากร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี  นายชัยยงค์ สัจจิพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี และนางกิริฎา เภาวิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

โดย นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่าทางรอดในสถานการณ์ เศรษฐกิจร้อนการเมืองแรง "สิ่งที่เราต้องทำก็คือมองข้อเท็จจริงกันเป็นหลัก ถ้าเราดูตัวเลขมหภาคพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่ำกว่าเป้ามาหลายปีด้วยหลายเหตุผล ทั้งไวรัสโคโรน่า ค่าเงินบาท ดังน้ันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดีมันเรื่องจริง แม้ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ อัตราส่วนของกำไรก็เริ่มที่จะชะลอตัวลง การแข่งขันก็ลำบากขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่ รายได้ยังคงมาจากการหากินภายในประเทศ แตกต่างจากบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ที่มองเรื่องตลาดนอกประเทศ ในตอนนี้เราประสบปัญหาเรื่องกำลังซื้อที่ลดลง ดังนั้นส่วนของรัฐต้องเปลี่ยนแนวทาง กระจายความเจริญลงท้องถิ่น กระจายงบประมาณ การเข้าถึงโครงการต่างๆของรัฐให้มากกว่านี้"

ขณะที่ นายปณิธาน วัฒนายากร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีประเทศไทยประสบปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆ  ทั้งภัยแล้ง ปัญหาฝุ่น ไวรัส ยาเสพติด ปัญหาค้ามนุษย์ ซึ่งหลายประเทศก็ไม่ค่อยรอดกับปัญหาเหล่านี้ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยมีจุดแข็งที่น่าจะผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ โดยเฉพาะในเรื่องไวรัสโคโรน่า ในขณะนี้นายกรัฐมนตรีก็เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และสำหรับปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่า ตอนนี้มีหลายคนบอกว่าให้ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยวจีน"

"ตรงนี้มันมีความซับซ้อนมาก การปิดประเทศตามที่มีการวิจารณ์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่เราอาจจะต้องมาพิจารณาเรื่องการให้วีซ่าคนจีน พิจารณาในเรื่องความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์กับต่างประเทศ เพื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้รวดเร็วขึ้น อันจะส่งผลต่อการรักษาผู้ติดเชื้อได้เร็วขึ้นและสร้างโอกาสรอดได้มากขึ้นตามมาด้วย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่านั้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศแค่ระยะสั้น แต่จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวแน่นอน"

ส่วนในด้านของ นายชัยยงค์ สัจจิพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี มองว่า "สถานการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะในเรื่องไวรัสโคโรน่าสถานการณ์นี้ดีขึ้นทุกลำดับโดยเฉพาะในประเทศจีน ดังนั้นคิดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย สำหรับปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่า ส่วนตัวมองว่าความสำคัญน่าจะเป็นเรื่องการสร้างความร่วมมือระหว่างแพทย์ หน่วยงานควบคุมโรค สำหรับการดำเนินการของประเทศไทยในตอนนี้นั้นถือว่ามีความเหมาะสมและไม่ช้าแต่อย่างใด ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในปัญหาด้านอื่นๆ การดำเนินการของประเทศไทยอาจจะยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในต่างประเทศมากนัก"

ต่อที่ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า "เรื่องสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยคงจะไม่ต่ำไปกว่าตอนปี 2562 ถ้าประเทศไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ก็จะมีหลายประเทศที่อยากจะมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นไปอีก สำหรับเรื่องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยนั้นส่วนตัวมองว่า ประเทศอย่างญี่ปุ่น จีน ก็วางแผนที่จะย้ายฐานจากประเทศเวียดนามมายังประเทศไทย ดังนั้นคงจะมีโครงการก่อสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นอีกในปี 2563 ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดบวกของประเทศไทยที่ตอนนี้เรามีจุดแข็งเพราะที่ตั้งเราเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ ดังนั้นปีนี้การเติบโตของจีดีพีไทย น่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ และในตอนนี้อยากให้มีการโปรโมทให้คนจับจ่ายใช้สอยให้เร็วที่สุด การจัดกิจกรรมสัมมนาต่างๆ เพื่อจะกระจายรายได้นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องควรกระทำ"

ปิดท้ายที่ นางกิริฎา เภาวิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า "ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจโลกเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่ควรวางใจ เพราะปีนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดังนั้นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะต้องทำทุกทางเพื่อที่จะเรียกคะแนนเสียง ส่วนเรื่องประเด็นค่าเงินบาทที่มีการเป็นห่วงกันว่าค่าเงินแข็ง แต่เกิดสถานการณ์เรื่องโคโรน่าไวรัส ทำให้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้นอ่อนลงมา แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโคโรนาไวรัสนั้นก็ส่งผลกระทบกับประเทศไทย เช่น นักท่องเที่ยวจีนลดลงไปประมาณ 2 ล้านคน ส่งผลทำให้จีดีพีไทยนั้นโตเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่า แต่คงไม่เลวร้ายถึงขั้นที่จีดีพีไทยต้องเติบโตแบบติดลบในปีนี้"