04 มี.ค. 2564 เวลา 9:06 น.
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2564 หรือ 2020 ที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของ Covid – 19 ถือเป็นสถานการณ์วิกฤตที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักไปหลายเดือน บริษัทฯ หลายแห่งปิดตัวลง หลายแห่งเลิกจ้างพนักงาน เพราะไม่สามารถสร้างยอดขายให้บริษัทไปต่อได้ แต่เป็นความโชคดีที่เสนาสามารถฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาไม่นาน และสร้าง New High ด้วยยอดขาย 8,600 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารต้นทุนที่ดี และความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการ ประกอบกับที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัย 4 ถึงแม้จะเกิดวิกฤติก็ยังมี Demand อยู่เสมอ บริษัทได้พัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่เข้ากับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นทาวน์โฮมติดโซลาร์เพื่อรับกระแส Work From Home และคอนโดต่ำล้านเพื่อคนรายได้จำกัดที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแต่ต้องการความมั่นคงในด้านการอยู่อาศัย ทำให้สร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจ
ทั้งนี้ข้อมูลศูนย์อสังหาฯ ชี้ว่าทาวน์เฮาส์ราคาเพิ่มขึ้น เพราะราคาที่ดินไม่ลดลง และมีคนทำตลาดนี้จำนวนมาก จึงมองว่าไม่น่าทำตลาดทาวน์เฮาส์ในห้วงเวลานี้ นอกจากนี้ยังเตรียมลุยคอนโดที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้าน มีข้อดีการทำคอนโดต่ำล้านคือ 1.ไม่มีใครทำ เพราะกำไรน้อยมาก 2. คล้ายซิตี้คอนโด มีเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้อง 26-28 ตร.ม. เป็นตึก 5-6 ชั้น เพื่อลดค่าก่อสร้าง แต่จะไม่มีสระว่ายน้ำ ส่วนกลาง นั่นหมายความว่า หากสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีและมีจำนวนลูกค้าจากหลายพื้นที่มากพอจะทำเกิดอีโคโนมีส์ออฟสเกล ทำให้ให้มีกำไรได้ดีขึ้น และกลายเป็นเจ้าตลาด
โดยคอนโดมิเนียมต่ำล้านจะอยู่ใต้แบรนด์ “เสนา คิทท์” 6 โครงการ ทำเล บางแค ,เวสต์เกต-บางบัวทอง, รังสิต-คลอง4, ลาดกระบัง,บางปู และเทพารักษ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท ,แบรนด์ “เสนา อีโค ทาวน์” จำนวน 2 โครงการ นทำเล รามอินทรา กม.9 และรังสิต สเตชั่น (บางพูน) มูลค่า 1,100 ล้านบาท และโครงการแนวราบ ซึ่งจะมีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม จำนวน 6 โครงการ ทำเล เทพารักษ์, ลาดกระบัง, รามอินทรา, รามอินทรา-วงแหวน, รามอินทรา กม.9 และบางพูน มูลค่า 5,400 ล้านบาททั้งนี้จะเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มฮันคิว 13-14 โครงการ เป็นโครงการคอนโดต่ำล้าน 1 โครงการ คือ “เสนา คิทท์ เทพารักษ์-บางบ่อ” และจะขยายไปในโซนบางแค ลาดกระบัง เวสต์เกต-บางบัวทอง บางปู รังสิต-คลอง 4 และเทพารักษ์
อย่างไรก็ตามเสนายังปรับตัวด้วยการปรับเซกเมนต์โครงการปีติ เอกมัย ที่ร่วมทุนกับ กลุ่มฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ประเทศญี่ปุ่น จากคอนโดลักชัวรี ระดับราคา 1.6 แสนบาท/ตรม. มาเป็นแบรนด์ นิชไพรด์ ราคา 1.3 แสนบาท/ตรม. เพื่อให้ดูเด็กลง รองรับดีมานด์คนไทยและต่างชาติ ซึ่งเป็นทำเลที่ไม่มีคู่แข่งเปิดตัวโครงการใหม่ รวมทั้งปรับสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สำหรับทิศทางอสังหาฯปีนี้ ยังคงแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะแนวราบ ที่มีผู้ประกอบการคอนโดเข้ามาพัฒนาแนวราบมากขึ้น ส่วนภาพรวมมองว่าตลาดจะยังไม่ฟื้นตัว แต่การที่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ ที่คนยังมีความต้องการซื้อ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง บวกกับการที่ปีที่ผ่านมามีการลดราคาลงค่อนข้างมากโดยเฉพาะคอนโด ทำให้ซัพพลายลดลง จึงเชื่อว่าจะทำให้ตลาดปีนี้ยังมีโอกาส
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวม เสนาฯ จึงใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงเปิดโครงการทั้งแนวราบและคอนโด และกระจายทำเล มองหาทำเลที่แข่งขันไม่รุนแรง ผ่านแนวคิด “7 Strong” ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการใหม่ มูลค่า15,700 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดแบรนด์ นิช, คอนโด นิชไพรด์ และ นิช โมโน จำนวน 3 โครงการ ในย่านเอกมัย,สมเด็จเจ้าพระยา และพระรามเก้า มูลค่า 7,100 ล้านบาท
สำหรับรายได้ของบริษัทในปี2564นี้ คาดว่า จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง10,000 ล้านบาท จากปีก่อนบริษัททำรายได้ 7,600 ล้านบาท การรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ปีนี้ 6,000 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีเกือบ 9,000 ล้านบาท พร้อมกับการระบายสต็อกที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีสต็อกเหลือขายที่มีอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท