ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
จากกรณีที่เพจเฟสบุ๊ค เรโทรสเปกต์ Retrospect ได้มีการโพสต์ภาพปลาพลวง ที่น้ำตกพริ้ว จ.จันทบุรี พร้อมระบุข้อความว่า “ปลาพลวงที่น้ำตกพลิ้ว ผอมจนเหลือแต่กระดูก และกำลังจะตายไป!!!”
หากเมื่อก่อนคุณเคยได้มีโอกาสไปเที่ยวน้ำตกพลิ้ว จันทบุรี คุณจะได้พบกับฝูงปลาพลวงเป็นจำนวนมาก ที่หลายคนจะลงไปถ่ายรูปด้วยหรือให้อาหารด้วยถั่วฝักยาว ให้อาหารกันเยอะจนปลามีจำนวนมากขึ้นๆๆๆ ทำแบบนั้นกันมานาน จนปลาชินกับการที่มนุษย์ให้อาหาร
จนเมื่อปีก่อน ที่มีข่าวเรือทัวร์ล่อปลาทะเลมาหานักท่องเที่ยวด้วยขนมปัง ทางกรมอุทยานแห่งชาติจึงห้ามให้อาหารสัตว์ทุกชนิดในอุทยานทั่วประเทศ รวมถึงปลาพลวงที่น้ำตกพลิ้วด้วย
จากการเลี้ยงอาหารของคน ทำให้ประชากรปลาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมจนเสียสมดุลย์กับอาหารในธรรมชาติ อาหารธรรมชาติเลยมีไม่พอสำหรับจำนวนปลาทั้งหมด จริงๆเราผิดกันเองที่ไปให้อาหารมันแต่แรก จนมันเสียสมดุล แต่การปล่อยให้ปลาตายเพื่อคัดตัวที่แข็งแรงไว้ มันสมควรหรือ? เราเล่นบทบาทผู้สร้างแบบผิดๆ พอระบบพังก็ปล่อยให้ธรรมชาติรับผิดชอบงั้นหรือ?
ขณะนี้ปลาที่น้ำตกผอมเหลือแต่กระดูกและกำลังจะตายไปอย่างทรมาน เป็นไปได้ไหมว่า อยากให้ทุกคนช่วยกันแชร์ถึงปัญหานี้และให้สังคมได้รู้ว่าเรื่องนี้มองข้ามไม่ได้ ปลากำลังจะผอมตาย เราควรต้องหาทางออกที่พอดีให้กับเรื่องนี้ได้โดยที่เราไม่ต้องให้ปลาเป็นพันๆตัวต้องตาย ทำแบบนั้นได้ไหม
มาช่วยกันหาทางออกให้กับปลาเหล่านี้กันนะครับ เข้าใจว่าเราสามารถปล่อยให้ธรรมชาติคัดให้เหลือแค่เพียงปลาที่แข็งแรง แล้วสมดุลก็จะกลับมา แต่รู้สึกว่า ทำไมปลาที่มนุษย์ทำให้มีจำนวนเยอะเอง ต้องมาถูกตัดสินให้ตาย เรารับผิดชอบเขามากกว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?!?!
(ส่วนตัวเบื้องต้นคิดว่าควรให้อาหารปลาเหล่านี้ให้แข็งแรง หลังจากนั้น ค่อยย้ายปลาออกไปสู่แหล่งน้ำอื่น เหลือไว้เพียงจำนวลที่สมดุลกับอาหารทางธรรมชาิ แต่ก่อนอื่นเลย ปลาผอมอ่อนแอแบบนี้ขนย้าย ตายแน่นอน ต้องให้อาหารก่อน)
อยากให้ทุกคนช่วยกันแชร์จริงๆ ช่วยทีครับ”
ซึ่งมีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ทางด้านนายพิทักษ์ อินทศร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ได้ให้ข้อมูลถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ทางอุทยานฯ ได้ปฏิบัติตามประกาศของทางกรม ห้ามให้นักท่องเที่ยวให้อาหารปลาโดยเด็ดขาด เพื่อเป็นการปรับพฤติกรรมสัตว์ให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ให้เป็นปลาธรรมชาติ ไม่ใช้ปลาเลี้ยง พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ฝูงปลาพวงที่น้ำตกพลิ้ว เริ่มเข้าสู่กระบวนการความสมดุลทางธรรมชาติแล้ว ซึ่งมีหลักการจากธรรมชาติที่จะคัดเลือกปลาตัวที่มีความแข็งแรงมากที่สุด ก็สามารถอยู่ได้ ส่วนปลาตัวไหนที่อ่อนแอก็จะตายไป ส่วนประชาชนที่ห่วงว่าปลาจะอดตายนั้น โดยธรรมชาติปลามีอาหารอยู่แล้ว มีทั้งลูกมะเดื่อ รากไม้ที่ไหลมากับน้ำตก ซึ่งมีปริมาณที่มากพอกับจำนวนปลา มั่นใจได้ว่าปลาพลวงจะมีชีวิตอยู่อย่างสมดุล”
จากประเด็นดราม่าดังกล่าว ดร. นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระด้านระบบนิเวศน้ำจืด ได้โพพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค Nonn Panitvong โดยระบุข้อความว่า "
จากกรณี ดราม่าปลาพลวงน้ำตกพลิ้วนั้น ผมมีความเห็นดังนี้ครับ
1. ปลาพลวงถูกให้อาหารมาเป็นเวลานานมาก อย่างน้อยๆก็ 13 ปีแล้ว จากครั้งแรกที่ผมไปก็ให้อาหารกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว แต่ 13 ปีที่แล้ว จำได้ว่าในลำธารยังพอมีปลาอื่นๆอยู่ มีปลาจาดทอง (ซ่ึ่งลำธารสายนั้นเป็น Type locality) ปลามูด ปลากระทิง ปลากั้ง ไปครั้งแรกสิ่งที่พบคือมีการใช้หนังยางรัดถั่วฟักยาวเข้าไป แล้วคนก็ทิ้งหนังยางลงน้ำ มีปลาหัวติดหลายตัว เขียนบทความไปสักพัก ก็ได้ข่าวว่ายกเลิกการใช้หนังยาง ก็ดีใจ
2. หลายปีผ่านไป ได้ไปน้ำตกพลิ้วอีกครั้ง คราวนี้พบว่าปลาพลวงยิ่งมากกว่าเดิมอีก ปลาอื่นๆหายไปเกือบหมด ปลามูด หายไปเลย ปลาจาดเหลือน้อยลงมาก ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าปลาพลวงเป็นปลาที่ปรับตัวเก่งมากกินอาหารหลากหลายและใช้พื้นที่ในลำธารอย่างทั่วถึง เช่น ปลาขนาดเล็กอยู่ตามพื้นที่น้ำนิ่งริมตลิ่ง ปลากลางอยู่ตามแก่ง ปลาใหญ่อยู่ตามวัง กินอาหารทั้งที่พื้นท้องน้ำ กลางน้ำและที่ผิวน้ำ กินทั้งพืชและสัตว์ และเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในแหล่งน้ำไหลขนาดไม่ใหญ่ในประเทศไทย ดังนั้น เมื่อเราให้อาหาร ปลาชนิดหลักที่ได้กินคือปลาพลวงแน่ๆและก็ทำให้มันเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายจนลำธารเสียสมดุลย์ไป ผมจำได้ว่าเขียนบ่นหลายครั้งว่าทำไมอุทยานถึงอนุญาตให้มีการให้อาหารปลาพลวงในหลายๆน้ำตก และในบางกรณีขายอาหารเองเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆที่มีกฏห้ามให้อาหารสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์อยู่แล้ว
3. ดังนั้นการยกเลิกการให้อาหารปลาพลวงในเขตอุทยานแห่งชาติที่น้ำตกพลิ้ว และหวังว่าจะเป็นทุกๆที่ เช่น น้ำตกเอราวัณที่กาญฯ หรือถ้ำปลาที่แม่ฮ่องสอน เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่ถามว่าปลาเดือดร้อนและน่าสงสารไหม อันนี้ในฐานะคนรักปลาตอบได้เลยว่าเดือดร้อนและน่าสงสารนะครับ จากภาพที่เห็นปลาผอม ไม่สมบูรณ์แน่นอน คือปริมาณมันมากไป มากไปหลายเท่ามากๆ จนอาหารตามธรรมชาติไม่มีทางเพียงพออยู่แล้ว บวกรวมไปกับการพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งทำให้มันมีอาหารตามธรรมชาติน้อยลงไปอีกแน่ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ ตัวที่อ่อนแอก็ทรมานอดตายไป ตายก็โดนเพิื่อนกิน เพื่อนก็รอด อารมณ์ประมาณ hunger games มันทรมานสัตว์นะ และมันเป็นความผิดของมนุษย์ตั้งแต่ต้นที่ไปทำให้มันมีปริมาณมากจนเกินไป ถามว่าผมมีทางออกอื่นไหม ก็คงไม่สามารถจะแนะนำอะไรได้มากไปกว่านี้ เอาจริงๆ ถ้าระบบทุกอย่างยังสมบูรณ์ แหล่งน้ำยังต่อเนื่องกัน ปลามันอาจจะอพยพออกจากพื้นที่ไปที่อื่นได้นะ แต่ตอนนี้แหล่งน้ำด้านนอกเขตอนุรักษ์ มันไม่ได้สมบูรณ์เชื่อมต่อกันอีกแล้ว ทั้งฝาย ทั้งประตูน้ำ ขุดลอก สร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ สูบน้ำไปใช้ ปลามันไปไหนไม่ได้ มันติดอยู่ตรงนั้นแหล่ะ ทยอยตายจนเข้าสู่จุดสมดุลย์ ทางธรรมชาติก็เป็นแบบนั้น ทางมนุษยธรรมก็ไปทำบุญกันแล้วกันนะ คนที่เคยให้อาหารปลาพลวงที่น้ำตกพลิ้ว
4. ทั้งนี้จะถือโอกาสแจ้งอีกปัญหาของปลาพลวงตามน้ำตกที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งอันนี้ ปลาจากฝั่งตะวันออกยังไม่ค่อยเห็น แต่ปลาพลวงฝั่งตะวันตก เช่น ที่ ไทรโยค เอราวัณ ถ้ำปลา นี่พิกลพิการกันหมดแล้ว ใครเคยสังเกตบ้างว่าปลามัน ตัวคดงอ หัวบุบ ตาบอด พิการตั้งแต่กำเนิด? ผมคิดว่าเกิดจากการพัฒนาที่ไม่ได้คิดให้ดี โดยเฉพาะการสร้างฝาย/เขื่อน กั้นการอพยพของปลา ทำให้มันไม่สามารถแลกเปลี่ยนยีนกันได้อีกแล้ว เกิดการผสมพันธุ์เลือดชิดในหมู่เครือญาติจนออกมาพิการ และปลาพิการก็อยู่ได้เนื่องจากมีการให้อาหารและนักท่องเที่ยวก็ทำให้ไม่มีสัตว์ผู้ล่าเข้ามาในพื้นที่ หลายแห่งนี่ปลาพิการต้องมี 3-40% ของประชากรแล้ว นอกจากเลิกให้อาหาร นี่ก็อยากจะให้กรมฯรองพิจารณาปัญหาเลือดชิดของปลาเหล่านี้ด้วยครับ เปิดทางให้มันไปมาหาสู่กันได้จะดีมาก แต่ก็ยากมาก ถ้าจะขนข้ามสลับเลือดกันบ้าง จะช่วยได้ไหม?
ประมาณนี้ครับ"
ขอคุณภาพ Retrospect // Jirawat Polpermpul