ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
หลังเกิดเหตุกราดยิงครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ รัฐบาลยังคงเดินหน้านโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมปืนทั้งในประเทศและเพื่อส่งออก แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะกระทบความมั่นคงทั่วโลกอย่างไร
รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเตรียมเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการส่งออกยุทธภัณฑ์ขนาดเล็กให้ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดของกระทรวงต่างประเทศ แต่ผ่านการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เป็นมิตรกับธุรกิจอย่างกระทรวงพาณิชย์แทน โดยรัฐบาลเชื่อว่าการลดขั้นตอนส่งออกให้แก่อาวุธปืนและกระสุนที่ไม่ใช่ชนิดใช้ในการทหาร จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมปืนในประเทศ
นักวิเคราะห์ด้านนโยบายต่างประเทศ Daniel R. DePetris ได้วิเคราะห์ไว้ในบทความของสำนักข่าว Reuters ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลเสียให้นโยบายต่างประเทศ และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดสงครามกลางเมืองทั่วโลก
อาวุธอย่างปืนไรเฟิลจู่โจม ปืนพก ที่สหรัฐฯจัดอยู่ในประเภทอุปกรณ์กีฬาสำหรับล่าสัตว์ จะถูกย้ายจากประเภทสินค้าอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ต้องควบคุมไปยังประเภทสินค้าพาณิชย์ที่ต้องควบคุม ซึ่งจะทำให้ได้ใบอนุญาตการขายหว่างประเทศคล่องตัวมากขึ้น
อาวุธอย่างปืนอาก้า สไนเปอร์ และวัตถุระเบิดเกรดต่ำ ที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องผ่านการฝึกทางทหารที่เข้มงวด ราคาถูกกว่ารถถังและเครื่องบินรบ และสามารถลักลอบขนย้ายข้ามชายแดนได้ เป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสงครามกลางเมืองอย่างในซีเรียและลิเบีย ซึ่ง Daniel มองว่าอาวุธเหล่านี้จะถูกลักลอบไปถึงตลาดมืด ถึงพื้นที่ขัดแย้งแน่นอน
เหมือนสมัยที่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งอาวุธให้ฝั่งต่อต้านรัฐบาลลิเบียเพื่อโค่นล้ม มูอัมมาร์ กัดดาฟี ในปี 2554 โดยไม่มีมาตรการความมั่นคงหรือกำกับดูแล อาวุธเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในสงครามกลางเมืองลิเบีย ปริมาณอาวุธในลิเบียนั้นมีมากจนผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติเรียกลิเบียว่าเป็นตลาดปืนของภูมิภาค
สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกอาวุธยุทธภัณฑ์ขนาดเล็ก รายใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าถึง 1,100 ล้านเหรียญ ความเป็นไปได้ที่อาวุธเหล่านี้จะเล็ดรอดไปถึงพื้นที่ขัดแย้ง แม่แต่น้อยนิด ก็ยังส่งผลกระทบใหญ่หลวง คำถามคือผลประโยขน์ทางการเงินจะเทียบได้กับความไม่มีเสถียรภาพและความรุนแรงที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากยุทธภัณฑ์เหล่านี้ที่จะมีขายมากขึ้นทั่วโลกหรือไม่
Daniel กล่าวว่าจากมุมมองของความมั่นคงและเสถียรภาพของประชาคมโลก นโยบายใหม่นี้เป็นการพนันโดยทำเนียบขาวที่แสนอันตราย