svasdssvasds

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊กเผยเครือข่ายสังคมออนไลน์ ‘เฟซบุ๊ก’ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิมโรฮิงญา

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก ยอมรับว่ามีการใช้เฟซบุ๊กในการขับเคลื่อนโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านชาวโรฮิงญาจริงในเมียนมา หลังได้รับแจ้งว่ามีข้อความอ่อนไหวจำนวนมากแพร่กระจายผ่านทางแอปพลิเคชั่น'เฟซบุ๊ก แมสเซนเจอร์'เพื่อปลุกระดมความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมและขณะนี้ ทางบริษัทกำลังจับตามองประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

ซักเคอร์เบิร์ก เล่าว่า มีเช้าวันหนึ่ง เขาตื่นมาได้รับโทรศัพท์ว่าเฟซบุ๊กตรวจจับการส่งข้อความอ่อนไหวทางแมสเซนเจอร์ ซึ่งเป็นกรณีเช่น มีการส่งข้อความบอกชาวมุสลิมว่าเกิดเหตุลุกฮือของชาวพุทธเพราะฉะนั้นจงไปที่นั่นแล้วเอาอาวุธไปด้วย ซึ่งข้อความปลุกปั่นลักษณะนี้มีทั้งสองฝั่ง

ซักเคอร์เบิร์ก ระบุว่า พอตรวจจับได้ ระบบของเฟซบุ๊กจะระงับการเผยแพร่ข้อความทั้งหมดเพื่อป้องกันความขัดแย้งและเฟซบุ๊กต้องเป็นบริษัทที่รับมือการจัดการระดับโลกให้ดีกว่านี้ พร้อมย้ำว่าให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าเฟซบุ๊กให้ความสำคัญกับทุกชุมชนทั่วโลกนอกเหนือจากสหรัฐฯ

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

ส่วนที่อินโดนีเซีย ล่าสุด นายรูเดียนทารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและข้อมูลของอินโดนีเซีย ประกาศขู่ปิดเฟซบุ๊กในอินโดนีเซีย หากพบหลักฐานว่าข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและหากเฟซบุ๊กไม่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวปลอมในการเลือกตั้งอินโดนีเซียที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆนี้ หลังกังวลว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นของอินโดนีเซียอาจถูกนำไปใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในและต่างประเทศในช่วงการเลือกตั้งอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ คำเตือนของทางการอินโดนีเซียนั้นครอบคลุมโซเชียลมีเดียและบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ทวิตเตอร์และกูเกิลด้วย โดยสองรายนี้ได้ตกลงทำงานร่วมกับรัฐบาลในการช่วยตรวจสอบเนื้อหาแล้ว

‘ซักเคอร์เบิร์ก’ชี้เมียนมาใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือต้านชาวโรฮิงญา

สัปดาห์ที่แล้ว เฟซบุ๊กกลายเป็นข่าวอื้อฉาว และต้องเผชิญวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่ เมื่อบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและที่ปรึกษาทางการเมือง เคมบริดจ์ อนาลิติกานำข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กในสหรัฐฯกว่า 50 ล้านรายชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ไปใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2016 นอกจากนี้ยังกำลังเป็นคำถามว่าบริษัทดังกล่าวทำแบบเดียวกันกับการลงมติเบร็กซิทในอังกฤษหรือไม่ จนนำไปสู่กระแสเรียกร้องให้มีการยกเลิกการใช้เฟซบุ๊ก

related