สิงคโปร์ก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีความสามารถการแข่งขันมากที่สุดอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯและฮ่องกง ส่วนไทยนั้น ลดลง 3 อันดับ อยู่อันดับที่ 30 ของโลก
ตามตารางการจัดอันดับความสามารถการแข่งขันโลกของศูนย์ความสามารถการแข่งขันโลก “ไอเอ็มดี”ในสวิสเซอร์แลนด์ พบว่า ประเทศ 5 อันดับแรกนั้น ยังคงเป็นประเทศเดิมกับการจัดอันดับเมื่อปีที่แล้ว แต่สลับสับเปลี่ยนอันดับกัน
สหรัฐฯ กลับมาอยู่อันดับ 1 ของตารางอีกครั้ง ตามด้วยฮ่องกง และสิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และสวิสเซอร์แลนด์
สำหรับสหรัฐฯนั้น ถือว่าทำผลงานดีขึ้น เพราะไต่ขึ้นมา 3 อันดับจากอันดับ 4 กลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยรายงานของไอเอ็มดีอธิบายว่ามาจากปัจจัยความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนฮ่องกงที่อยู่อันดับ 2 นั้น เป็นผลจากการบริหารงานของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ และศักยภาพในการทำธุรกิจ
เนเธอร์แลนด์นั้น แซงสวิสเซอร์แลนด์ ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 จากปัจจัยสมดุลย์ด้านการแข่งขันที่ดี ส่วนสวิสเซอร์แลนด์ที่ตกลงไป 1 อันดับนั้น เป็นผลจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง และความวิตกถึงการย้ายหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาออกนอกประเทศ
ที่เหลือส่วนใหญ่ใน 10 อันดับแรก เป็นประเทศในแถบนอร์ดิก คือ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ที่ได้อันดับ 6, 8 และ 9 จากความแข็งแกร่งด้านผลิตภาพโดยรวมของภาคเอกชน และแนวทางการบริหารงาน ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ นั้นอยู่ที่อันดับ 7 และอันดับ 10 เป็นของแคนาดา
หากดูที่ประเทศที่พัฒนามากที่สุดในรายงานประจำปีนี้ คือ ออสเตรีย และจีน โดยออสเตรียนั้น ไต่ขึ้นมา 7 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 18 ส่วนจีนไต่ขึ้นมา 5 อันดับ อยู่ที่อันดับ 13
ผู้อำนวยการศูนย์ไอเอ็มดีระบุว่า ในกรณีของจีนนั้น ศักยภาพการแข่งขันเพิ่มขึ้น จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริง รวมถึงพัฒนาด้านกรอบกฎหมายและข้อบังคับการทำธุรกิจ
มาดูตารางในส่วนของเอเชีย แน่นอนว่า ฮ่องกงและสิงคโปร์ กลายเป็นผู้นำติด 5 อันดับแรก แต่ประเทศอื่น นอกเหนือจากจีน ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และอินเดีย มีพัฒนาการขึ้นมาเล็กน้อย กลับกันไต้หวัน ไทย และอินโดนีเซีย ตกอันดับลงมาเล็กน้อย
ประเทศไทยนั้น ตกลงมา 3 อันดับ จากอันดับที่ 27 ลงมาอยู่ที่ 30 โดยไอเอ็มดีชี้ความท้าทายที่ไทยต้องเร่งรับมือ คือ สร้างความตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจ เร่งปฎิรูปการศึกษา ฝึกฝนทักษะแรงงานให้พร้อมกับความท้าทายใหม่ในอนาคต เริ่มประยุกษ์ใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล ในภาคบริการสังคม เช่น การศึกษาและประกันสุขภาพ เสริมการเปลี่ยนแปลงของภาครัฐให้รองรับความต้องการของธุรกิจและประชาชนที่เปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง และท้ายสุดคือ จัดการการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและบริหารความขัดแย้งในช่วงเข้าสู่การเลือกตั้ง
แต่ที่ผลงานย่ำแย่สุด คือ ฟิลิปปินส์ ที่ตกลงมาถึง 9 อันดับ อยู่ที่อันดับ 50 ด้วยเหตุผลจากการท่องเที่ยวและการจ้างงานที่ลดลง การเงินสาธารณะ และความวิตกในด้านการศึกษา
ดังนั้น หากให้จัดอันดับอาเซียนแล้ว ตอนนี้ สิงคโปร์ นำเป็นอันดับ 1 ตามด้วยมาเลเซีย ประเทศไทยรั้งอยู่อันดับ 3 อินโดนีเซียอันดับที่ 4 และฟิลิปปินส์อันดับที่ 50