"ทรัมป์" ลาพักร้อน 17 วัน อ้างทำงานนอกสถานที่
ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เดินทางไปยังสนามกอล์ฟส่วนตัวในเมืองเบดิมินสเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อใช้เวลาพักร้อนอยู่ที่นี่นาน 17 วัน ซึ่งนายทรัมป์ระบุว่า เป็นการพักร้อน เพื่อทำงานนอกสถานที่ ในขณะที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับเรื่องวุ่นวายรอบด้าน
ทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เนชั่นแนล กอล์ฟ คลับ เพื่อพักผ่อนในช่วงพักร้อน แต่จะยังคงทำงานตามปกติ จึงเรียกการพักร้อนครั้งนี้ว่า 17-DAY WORKING VACATION หรือ พักผ่อนไปด้วย ทำงานด้วย 17 วัน
อีกทั้งในช่วงพักร้อนของประธานาธิบดีสหรับฯ ภายในทำเนียบขาว จะมีฝ่ายซ่อมบำรุงจะเข้ามาปรับปรุงระบบทำความร้อนและระบบทำความเย็น ที่อาคารปีกตะวันตกของทำเนียบขาว ซึ่งหากประธานาธิบดีสกรัฐฯไม่พักร้อน ก็ต้องย้ายสถานที่ทำงานอยู่ดี
ย้อนกลับไปสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา นายทรัมป์เคยทวีตข้อความเหน็บแนมนายโอบามา ที่ลาพักร้อน 2 สัปดาห์ เมื่อปี 2556 อีกทั้งในช่วงที่นายทรัมป์กำลังหาเสียงเลือกตั้งก็เคยเหน็บแนมถึงนายโอบามาหลายครั้งทีเดียว เกี่ยวกับการที่นายโอบามาพักร้อนเพื่อไปตีกอล์ฟ
สำนักข่าวCNN รวบรวมคำพูของนายทรัมป์ช่วงหาเสียงไว้ดังนี้
"โอบามา, มีรายงานมาวันนี้ว่า...เล่นกอล์ฟ 250 รอบ เป็นคำสั่งจากฝ่ายบริหาร ไม่เห็นเขาทำงานเลย เพราะเอาเวลาไปเล่นกอล์ฟหมด โอบามาควรจะออกจากสนามกอล์ฟได้แล้ว ผมจะไปทำงานแทนเขา ผมจะไม่ใช้เวลาไปกับการเล่นกอล์ฟหรอก
เขาเล่นกอล์ฟมากกว่าไทเกอร์ วูดส์เสียอีก ผู้ชายคนนี้เล่นกอล์ฟมากกว่าใครๆในพีจีเอทัวร์
ผมก็ชอบเล่นกอล์ฟแต่ไม่มีเวลา ถ้าผมได้ทำงานในทำเนียบขาว ผมจะไม่ทำแบบนี้ ถ้าผมชนะเลือกตั้ง ผมจะไม่เล่นกอล์ฟเยอะขนาดนี้ ผมจะไม่ออกจากทำเนียบขาวเลย เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ผมรักงาน ผมจะไม่พักร้อนเลย ผมจะไม่ทำเหมือนโอบามา ที่นั่งแอร์ฟอร์ซวันไปฮาวาย ผมจะไม่ลาพักร้อน ผมสัญญา ผมจะไม่ลาพักร้อนยาวๆ
ผมไม่มีเวลาพักร้อนเป็นอาทิตย์ๆเหมือนคนอื่นๆ ผมไม่ชอบหยุดพักร้อน โอบามาชอบพักผ่อน ชอบพักร้อน ส่วนผมชอบทำงาน ถ้าผมได้เป็นประธานาธิบดี ผมจะอยู่ในทำเนียบขาวเพื่อทำงาน ผมจะไม่ออกไปไหน ผมสัญญา"
การลาพักร้อนของนายทรัมป์นาน 17 วัน มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายหลายเรื่อง อาทิ การปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่สำคัญในหลายตำแหน่ง รวมถึงกระบวนการสอบสวนความเชื่อมโยงระหว่างรัสเซียกับทีมงานหาเสียงของทรัมป์ที่กำลังเข้มข้น เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯจัดตั้งคณะลูกขุนใหญ่ เพื่อตรวจสอบหลักฐานรายละเอียด
