โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่อยู่ในน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายโดยการไอ จาม สูดเอาเชื้อเข้าไป
สถานการณ์ของโรคหัดเยอรมันในประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่ามีรายงานผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยประมาณ 200 รายต่อปี
ปี 2560 ตลอดทั้งปีมีผู้ป่วย 261 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
ปี 2561 ตั้งแต่ 1 มกราคม – 25 ตุลาคม 2561 มีรายงานผู้ป่วย 269 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเช่นกัน
ขณะนี้กรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์ของโรคหัดเยอรมันในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และทำการประเมินความเสี่ยงเพื่อกำหนดและดำเนินมาตรการที่เหมาะสม
โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่อยู่ในน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายโดยการไอ จาม สูดเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศเมื่อมีการติดต่อกับผู้ที่มีเชื้อชนิดนี้ รวมไปถึงการใช้สิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากผู้ป่วย หากเป็นหญิงตั้งครรภ์จะสามารถส่งผ่านเชื้อให้ทารกได้โดยทางกระแสเลือด
ระยะการฟักตัวของโรคจะอยู่ในช่วง 14-23 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 16-18 วัน ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่มีเชื้อในร่างกายแม้ไม่มีอาการแสดงออกไปจนถึงหลังอาการผื่นขึ้นตามร่างกายหายไปประมาณ 2-3 สัปดาห์
-มีไข้ร่วมกับมีผื่นประมาณ 2-3 วัน
-มีไข้ต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 37.2-37.8 องศาเซลเซียส)
-ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ ท้ายทอย และหลังหู
-มีตุ่มนูน ผื่นแดงหรือสีชมพูขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะลามลงมาตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ
อาการอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ทั่วไป และมักเกิดขึ้นกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เช่น
-ปวดศีรษะ
-ไม่อยากอาหาร
-เยื่อบุตาอักเสบจนทำให้ตาแดง
-คัดจมูก น้ำมูกไหล
-ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายมีอาการบวม
-ปวดข้อ และข้อต่อบวม
1.หลีกเลี่ยงในการคลุกคลีกับผู้ป่วย ซึ่งเสี่ยงต่อการรับเชื้อมาได้โดยง่าย
2.ควรมีการฉีดวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม หรือเรียกสั้น ๆ ว่าวัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ทั้งนี้ โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรง แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เพราะหากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้ว ทารกในครรภ์อาจเกิดภาวะพิการแต่กำเนิด หูหนวก ตาเป็นต้อกระจก เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด มีภาวะผิดปกติทางสมอง และอวัยวะภายในไม่สมบูรณ์ได้