ประดาบยกนี้ ไทยรักษาชาติ หรือ ทษช.และใครบางคนที่อาจยืนทะมึนอยู่เบื้องหลังบาดเจ็บพ่ายแพ้ยับเยินแบบเสียรูปมวยไม่มีเหลือ
ทั้งการตัดสินใจที่ผิดพลาด ไม่รู้เบื้องต่ำเบื้องสูง อะไรควรอะไรไม่ควร ทั้งที่แกนนำส่วนหนึ่ง ถือว่าโชกโชนบนเวทีการเมืองอย่างจาตุรนต์ ฉายแสง ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และใครต่อใครอีกหลายคน
ขณะที่ฟีดแบคตีกลับใส่ ทษช.ตั้งแต่เช้าวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ก็โดนจัดหนักเต็มรัก แม้ส่วนหนึ่งจะเห็นด้วยและสนับสนุนการเสนอชื่อ แต่ก็อีกไม่น้อยที่ตั้งประเด็นคำถามกลับไปยัง ทษช.
เท่ามวลชนส่วนหนึ่ง ทษช.ได้อยู่แล้ว แต่เพราะกรณีที่เกิดขึ้น ทำให้มีมวลชนอีกส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งมวลชนส่วนนี้ พร้อมจะไปเติมเต็มให้กับฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คู่แคนดิเดตสำคัญบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่จับพลัดจับผลูได้คะแนนเพิ่มแบบ"ส้มหล่น"
ในพระราชโองการ ชัดเจนว่าการนำพระราชวงศ์มาเกี่ยวกับการเมืองไม่ว่าจะโดยทางใดเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณีถือเป็นการกระทำที่มิบังควร
พระมหากษัตริย์ รัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ ดำรงอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆทางการเมืองได้ เพราะจะขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
เท่ากับการกระทำของ ทษช.มีความผิดอันใหญ่หลวงที่กรรมการบริหารพรรคไม่อาจจะละเลยหรือปฏิเสธได้ ต้องน้อมรับและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกฎหมายและขั้นตอนปฏิบัติ
ไม่ใช่เพียงแค่การขอพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น
ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. ก็ต้องดำเนินการในฐานะผู้จัดการและคุมกฏการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามประกาศ 9 ฉบับของกกต.ที่ออกมา ขณะเดียวกัน ก็ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญัติในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพ.ร.ป.พรรคการเมืองปี 2560 มาตรา 92 หากเชื่อได้ว่ากระทำผิดจริง และต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
บทลงโทษตามมาตรานี้ สูงสุดถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเลยทีเดียว
จึงได้เห็นการยกเลิกปราศรัยหาเสียงช่วยลูกพรรคในวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ถือเป็นการถอยตั้งหลักของแกนนำทษช.