ศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมาก ชี้แผนผลิตไฟฟ้าที่กำหนดให้รัฐลดสัดส่วนกำลังการผลิตต่ำกว่าร้อยละ 51 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แนะกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรอง ให้สอดคล้องความเป็นจริงในการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ป้องกันความเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะ
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ผู้ถูกร้องที่ 1 และ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ให้เอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 วรรคสอง ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง
พร้อมมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่า การกระทำของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องครบถ้วน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ศาลรัฐธรรมนูญ รับวินิจฉัย สัดส่วนผลิตไฟฟ้าของรัฐ ไม่ถึง 51 % ขัด รธน. หรือไม่
• กระทรวงพลังงาน เผยแผนดันพลังงานสะอาด ผลิตไฟฟ้ากว่าหมื่นเมกะวัตต์
• สนพ. เตรียมเสนอแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 2022 เน้นพลังงานสะอาด
ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีข้อแนะนำว่า รัฐโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ต้องดำเนินการกำหนดกรอบ หรือเพดานของสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชนในระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศ
และกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองอันเกี่ยวกับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชน อันส่งผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชน ให้สอดคล้องและใกล้เคียงกับความเป็นจริงตามความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศ ในแต่ละช่วงเวลา
เพราะหากกำหนดกำลังไฟฟ้าสำรองสูงเกินสมควร และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะ อาจถูกดำเนินการโดยองค์กรอื่น หรือ ศาลอื่นได้
ทั้งนี้คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก นายสุทธิพร ประทุมเทวาพิทักษ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยื่นฟ้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 51 ว่ากระทรวงพลังงานกำหนดยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ. 2559-2563) และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ทำให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของรัฐลดต่ำกว่าร้อยละ 51 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 56 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง