วินจักรยานยนต์หัวใจฮีโร่ ช่วยแม่ค้าขายเงาะ จับโจรจี้ชิงทรัพย์ [คลิป]

คนร้ายก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์นางมีลุ มาเยอะ อายุ 40 ปี แม่ค้าขายเงาะ ที่จอดรถอยู่หน้าปั๊มก๊าซ LPG ก่อนถึงห้างสรรพสินค้าโฮมโปร สาขามหาชัย หมู่ที่ 8 ถนนพระราม 2 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  ส่วนผู้ก่อเหตุที่ถูกพลเมืองดีจับตัวไว้ได้คือ นายไพจิตร ยะภักดี อายุ 39 ปี  นั่งกองอยู่ที่พื้นฟุตบาธ สภาพเหนื่อยหอบไร้เรี่ยวแรง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องให้น้ำดื่มก่อนที่จะควบคุมตัวไปสอบปากคำฯ พร้อมกับของกลางเป็นมีดปลายแหลมความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ซึ่งเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์

สำหรับพลเมืองดีที่ช่วยจับโจรรายนี้ไว้ได้ คือ นายสยาม ทะแวนสาริกิจ อายุ 46 ปี อาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง และเพื่อนๆ ร่วมอาชีพขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างหน้าศูนย์การค้า พอร์โต้ชิโน่ อีกเกือบ 10 คน ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่นางมีลุ มาเยอะ จอดรถขายเงาะไปประมาณ 100 เมตร จากการสอบถามนางมีลุ มาเยอะ แม่ค้าขายเงาะ เล่าว่า ตนเองได้มาจอดรถขายเงาะริมถนนพระราม 2 เป็นวันแรก ซึ่งขณะที่รอลูกค้าอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นชายคนดังกล่าวเดินวนไปเวียนมาอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก พอสักพักหนึ่งก็เดินเข้ามาประกบด้านหลังของตนแล้วก็เอามีดปลายแหลมออกมาจี้ที่กลางหลัง พร้อมกับบอกให้ตนส่งกระเป๋าสะพายที่ภายในมีเงินอยู่ประมาณ 5,000 กว่าบาทไปให้ ซึ่งตนนั้นไม่ยอมให้ คนร้ายจึงใช้วิธีการกระชากกระเป๋า ตนก็พยายามยื้อแย่งจนหูกระเป๋าขาด คนร้ายจึงได้กระเป๋าไปแล้วก็รีบวิ่งหนีขึ้นไปทางศูนย์การค้า พอร์โต้ชิโน่ ทั้งนี้ตนก็พยายามร้องเรียกให้คนช่วยจับโจรและวิ่งตามไป ซึ่งก็นับเป็นความโชคดีที่เป็นจังหวะพอดีกับที่นายสยามฯ พี่วินจักรยานยนต์รับจ้างส่งคนลงพอดี จึงได้พาตนนั่งซ้อนท้ายขับตามคนร้ายขึ้นไป แล้วก็ตะโกนให้เพื่อนๆ ที่ขับวินอยู่หน้าศูนย์การค้าฯ ช่วยกันจับคนร้าย แต่โจรก็ได้อาศัยความชุลมุนในช่วงวันหยุด วิ่งหนีเข้าไปข้างในของศูนย์การค้าฯ แล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ออกมา จากนั้นก็ทำทีเป็นวิ่งออกมาข้างนอก หวังตบตา รปภ. ผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างและคนที่ขายของอยู่ริมถนน แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะว่านายสยามฯ นั้น จำกางเกงที่คนร้ายสวมใส่ได้ จึงได้บอกให้เพื่อนๆ ช่วยกันจับตัวไว้ แล้วก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ซึ่งนายไพจิตร ยะภักดี ให้การรับสารภาพว่า ก่อเหตุจริง โดยทำเป็นครั้งแรก สาเหตุเนื่องจากไม่มีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน