ติดตามข่าวสารwได้ที่ https://www.springnews.co.th
เมื่อวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มนับศักราช “รัตนโกสินทร์ศก” (ร.ศ.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2432 โดยทรงให้นับปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีขาล พ.ศ. 2325 เป็น “ร.ศ. 1”
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1) ทรงย้ายราชธานีเก่ากรุงธนบุรีจากฝั่งตะวันตก มายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นราชธานีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ทรงพระราชทานนามพระนครใหม่ในปีพ.ศ. 2528 ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ” หรือมีนามย่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์”
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว มีพระราชดำริจะฟื้นฟูพระราชอาณาจักรให้เจริญรุ่งเรือง จึงโปรดฯให้ย้ายราชธานี ไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และกำหนดเขตราชธานีและสร้างป้อมปราการ
ก่อกำแพงพระนครและสร้างป้อมปราการตามแนวคลองรอบกรุงเก่าและใหม่ ทั้งสิ้น 14 ป้อมเรียงจากเหนือไปใต้ เช่น ป้อมพระสุเมรุ ป้อมยุคนธร ป้อมมหาปราบ ป้อมมหากาฬ ป้อมหมูหลวง ป้อมเสือทยาน ป้อมมหาไชย ป้อมจักรเพรช ป้อมผีเสื้อ ป้อมมหายักษ์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมอิสินนธร
“คลองคูเมืองเดิม” ขุดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2326 เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร ด้านเหนือที่ท่าช้างวังหน้า ด้านใต้ที่ปากคลองตลาด เชื่อมคลองคูเมืองเดิมรอบพระนครชั้นในออกไปบรรจบกับคลองรอบกรุง จึงมีคูน้ำล้อมรอบลักษณะคล้ายเกาะ ต่อมาเรียกกันว่า “เกาะรัตนโกสินทร์”
วันอาทิตย์ที่ 26 เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทรงประกอบ “พระราชพิธีนครฐาน” ยกเสาหลักเมืองเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น โดยใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นเสาหลักเมือง ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานครตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของท้องสนามหลวง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นพร้อมกับเพื่อการสร้างพระนครเมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นศูนย์กลางการปกครองประเทศ และเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี ตลอดจนโปรดเกล้าฯให้สร้างพระอารามหลวง “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม”ตามแบบแผนเดียวกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา ขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง จากนั้นได้อันเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) มาประดิษฐานในพระอุโบสถ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมืองที่ผู้คนต่างสักการะบูชาจนมาถึงในปัจจุบัน