ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญยืนยันจุดยืนเดิม กำหนดให้รีเชตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะปรับแก้ไขอย่างไร กรธ.ก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นบทสรุปในประเด็นนี้คงขึ้นอยู่กับ สนช.
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตถือเป็น กฎหมายลูกที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ และศาล 2 ฉบับสุดท้าย กรธ.ยกร่างส่งให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ก่อนที่จะเดินหน้ายกร่าง กฎหมายลูก ส.ส.และ ส.ว.
โดยกฎหมายลูก ศาลรัฐธรรมนูญ สนช.รับหลักการวาระแรกไปแล้ว พร้อมตั้งกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขภายใน 50 วัน เนื้อหาที่ กรธ.ยกร่าง ส่วนใหญ่เขียนกลไกให้ศาลรัฐธรรมนูญทำงานได้รวดเร็วมาก พร้อมเพิ่มอาวุธไว้ให้ศาลรัฐธรรมนูญใน มาตรา 38 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถปกป้องตนเองจากการละเมิดศาลได้ โดยการออกคำสั่งเพื่อให้พิจารณาคดีเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยได้ หากฝ่าฝืนคำสั่งศาลให้ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล มีโทษตั้งแต่ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรไปจนถึงจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน กรธ.กำหนดให้อยู่ทำหน้าที่ต่อไปเฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 หรือ รีเซต และเมื่อพิจารณาในเบื้องต้นพบว่ามีตุลาการหลายคนเสี่ยงคุณสมบัติไม่ครบ แต่กลุ่มเสี่ยง ก็มี 5 คน ที่ครบวาระแล้ว ตั้งแต่ พ.ค.60 ดังนั้นจึงเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเพียงคนเดียว คือ นาย ปัญญา อุดชาชน ส่วนที่เหลืออีก 3 คน คาดว่าคุณสมบัติน่าจะครบ เป็นศาสตราจารย์มา ไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยนับจากวันที่เป็นศาสตราจารย์ จนถึงวันที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ แต่หากกรรมการสรรหานับแบบอื่น ก็อาจทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานะเสี่ยงด้วย
ขณะที่ร่างกฎหมายลูก ป.ป.ช. กรธ.เตรียมส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาในวันที่ 2 ตุลาคม เพื่อให้ ป.ป.ช.ส่งความเห็นแย้งกลับมา ให้ กรธ.ปรับแก้ไข และส่งให้ สนช.พิจารณาต่อได้ ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้
โดยเนื้อหาเบื้องต้นเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช. ทำงานในเชิงรุก สามารถตรวจสอบทุจริตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้อง ขณะเดียวกันมีการกำหนดเรื่องระยะเวลา การพิจารณาคดีอย่างชัดเจน หากมีการปล่อยให้คดีขาดอายุความกรรมการ ป.ป.ช.จะต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เพื่อให้มีการถ่วงดุลระหว่างองค์กร
ขณะที่สำนักงาน ป.ป.ช.จังหวัด ยังคงให้มีอยู่ แต่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแทนกรรมการ พร้อมเพิ่ม ป.ป.ช.ภาค ให้มีหน้าที่ในการไตร่สวนสำนวนเบื้องต้น ก่อนส่งให้ ป.ป.ช.กลางดำเนินการต่อ และดูแลเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินหนีสินในตำแหน่งต่างๆด้วย
ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายสนใจคือ การดำรงอยู่ของกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ทาง กรธ.ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมให้อยู่เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 หรือ รีเชต ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะมีผลทำให้กรรมการ ป.ป.ช.ส่วนใหญ่เสี่ยงที่จะหลุดจากตำแหน่ง อาทิ พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ, นายปรีชา เลิศกมลมาศ, นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ยกเว้น นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร ที่น่าจะดำรงตำแหน่งต่อไป
อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของกรรมการ ป.ป.ช.และ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชุดปัจจุบันคงจะยึดตามที่ กรธ.ร่างมาไม่ได้ทั้งหมด เพราะนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ประกาศชัดเจนแล้ว หาก สนช.จะปรับแก้ไขอย่างไร กรธ.ไม่ขัดข้อง ขอเพียงอย่าขัดรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น สนช.จึงเป็นอีกด่านหนึ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.และ กกต. ใช้คุณสมบัติเดียวกัน และ ทั้ง 3 องค์กร มีอำนาจเพิ่มขึ้นเหมือนกันด้วย หลังจากนี้ คงต้องวัดใจ สนช.ว่า จะกล้า เซตซีโร่ 2 องค์กรนี้ เหมือน กกต.หรือไม่