svasdssvasds

‘นักการเมืองบิ๊กเนม’ ตกม้าตาย! ซุกทรัพย์สิน

‘นักการเมืองบิ๊กเนม’ ตกม้าตาย! ซุกทรัพย์สิน

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

 

ทันทีที่ ‘แหวนเพชร’ เม็ดเป้ง 1 กะรัต พ่วงด้วย ‘นาฬิกาเรือนหรู ริชาร์ด มิลล์’ บนข้อมือของ ‘บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่องแสงแยงตานักข่าวในวันถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรี ชุดที่ 5 กระตุกต่อมอยากรู้ของบรรดาเหยี่ยวข่าวที่ต้องเอ่ยปากซักถามที่มาที่ไป ได้คำตอบว่า

 

‘นักการเมืองบิ๊กเนม’ ตกม้าตาย! ซุกทรัพย์สิน

 

“… นาฬิกาและแหวนเป็นของเก่าเก็บที่มีมานานแล้ว และที่ผ่านมา สวมแหวนวงนี้มาตลอด มีน้ำหนักเพียง 1 กะรัต เป็นเรื่องบังเอิญที่แหวนกระทบกับแสงแดดจนเกิดแสงสะท้อนต่อหน้าสื่อมวลชนพอดี ...” ไม่พ้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีอยู่ในรายการบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินที่ต้องแจ้งไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วหรือไม่

ล่าสุด นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการและรักษาการเลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับทราบและดำเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประวิตร ในเบื้องต้นแล้ว โดยสำนักงาน ป.ป.ช. จะส่งหนังสือให้ พล.อ.ประวิตร ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของ ป.ป.ช. หลังจากนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. จะรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิจารณาและเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป

 

‘นักการเมืองบิ๊กเนม’ ตกม้าตาย! ซุกทรัพย์สิน

 

จากกรณีของ พล.อ.ประวิตร ทำให้หวนนึกถึงกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ในช่วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ณ ขณะนั้น เกี่ยวกับนาฬิกาเรือนหรูมูลค่า 2.5 ล้านบาท ที่อ้างว่า เป็นของตนเอง โดยมอบเงินให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร หลานสาวไปซื้อให้

แต่ไม่ปรากฏอยู่ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. แต่อย่างใด นำมาสู่การตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2560 นายวรวิทย์ สุขบุญ รักษาการเลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุว่า ขณะนี้สรุปสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาคณะอนุกรรมการ

 

ย้อนรอย ‘7 บิ๊กเนม’ ซุกทรัพย์สิน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเมืองปกปิดรายการทรัพย์สิน-หนี้สิน ย้อนกลับไปเมื่อปี 2543 เมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดฐานจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน อันเป็นเท็จ กรณีแจ้งการกู้ยืมเงิน 3 ฉบับ จำนวน 45 ล้านบาท จากบริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการกู้ยืมจริง และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า มีความผิดฐานจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ทำให้ พล.ต.สนั่น ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

นายประยุทธ มหากิจศิริ สมัยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นนักการเมืองอีกราย ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กรณีไม่แจ้งรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. อันประกอบด้วย เงินฝากธนาคารและตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 26,885,240 บาท ที่ดิน 9 แปลง เนื้อที่รวม 71 ไร่ ทรัพย์สินของคู่สมรส ประกอบด้วย เงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 390,358,475 บาท ที่ดิน 21 แปลง เนื้อที่รวม 172 ไร่ กับบ้านพักอาศัย 1 หลัง และทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ประกอบด้วย เงินฝาก 200,584 บาท และที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 1 ไร่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ไปอีกราย

นายรักเกียรติ สุขธนะ ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด กรณีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และร่ำรวยผิดปกติ โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกานักการเมือง) พิพากษาให้ยึดทรัพย์ จำนวน 233,880,000 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อ 30 ก.ย. 2546 และในวันที่ 28 ต.ค. 2546 ศาลฎีกานักการเมืองลงดาบซ้ำอีกรอบ พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 15 ปี ในข้อหาทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยการเรียกรับเงิน 5 ล้านบาท จากเจ้าของบริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด

ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เมื่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้เทคนิคใหม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินต่อ ป.ป.ช. ในลักษณะที่ว่า ได้ขายหุ้นบริษัท มิติฟู๊ดโปดักส์ จำกัด 24,500 หุ้น ให้ พ.ต.อ.ณัฏฐวุฒิ ยุวรรณ น้องเขย ระบุว่า ได้รับชำระราคามา 850,000 บาท อ้างว่า ส่วนที่ค้างอีก 1.6 ล้านบาทนั้น ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้

ทั้งที่บริษัทดังกล่าวไม่มีการประกอบการ และน้องเขยไม่มีฐานะทางการเงินพอที่จะซื้อหุ้นดังกล่าวได้ จึงเชื่อว่า ไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง โดยศาลฎีกานักการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายยงยุทธเป็นเวลา 2 เดืือน ปรับ 4,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี และตัดสิทธิการเมือง 5 ปีเช่นกัน

 

‘สมศักดิ์-เกษม’ ตามรอย

แม้แต่ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ประสบวิบากกรรมลักษณะเดียวกัน กรณีไม่แจ้งแสดงรายการในบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. ว่า มีบ้านพัก เลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มูลค่า 16 ล้านบาท ทั้งยังปกปิดการแจ้งบัญชีเงินฝากของตนเองและคู่สมรส ในบัญชีธนาคาร มูลค่า 8.7 ล้านบาท ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งทางการเมืองและถูกตัดสิทธิ 5 ปี จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท

อีกรายที่ต้องกล่าวถึง คือ นายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ คนสนิทของ ‘เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์’ แห่งพรรคเพื่อไทย ที่แสดงเงินกู้ยืมของ นางดวงสุดา คู่สมรส โดยอ้างว่า กู้ยืมมาจากมารดาของตนเอง (นางบุญทอง สุภารังษี) จำนวน 72 ล้านบาท เป็นการปกปิดเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท วิน-โคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (WIN) ในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 26,193,205 บาท และปกปิดเงินลงทุนในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON) มูลค่า 74,205,972 บาท ของนางดวงสุดา คู่สมรส ที่ให้นางบุญทอง มารดา ถือครองแทน

ต่อมา ในเดือน มี.ค. 2560 ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาจำคุก 12 เดือน ไม่รอลงอาญา กรณีจงใจยื่นบัญชีหนี้สินเท็จ ร่ำรวยผิดปกติ ริบทรัพย์สิน 7 รายการ กว่า 168 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

 

‘นักการเมืองบิ๊กเนม’ ตกม้าตาย! ซุกทรัพย์สิน

 

ไม่เว้นแม้แต่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลกรณีแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ-ร่ำรวยผิดปกติ มูลค่า 346,652,588 บาท และอยู่ระหว่างเสนอคำร้องให้ศาลฎีกานักการเมืองพิจารณา

กรณีของ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีต รมว.สาธารณสุข ที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลกรณีปกปิดข้อเท็จจริง กรณี นางจุไร สะสมทรัพย์ คู่สมรส ถือหุ้นของบริษัททรัพย์ฮกเฮง จำกัด เกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ซึ่งศาล รธน. วินิจฉัยให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี

ด้าน นายยศวริศ ชูกล่อม ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน-หนี้สิน และเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ก็ถูกศาลพิพากษาห้ามดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จำคุก 1 เดือน (รอลงอาญา 1 ปี) และปรับ 4,000 บาท

แล้วกรณีของ พล.อ.ประวิตร หล่ะ? จะจบลงเช่นไร ต้องรอดูมาตรฐานการทำงานของ ป.ป.ช. กันต่อไป

 

-----

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,322 วันที่ 14-16 ธ.ค. 2560 หน้า 14

 

related