'องอาจ' ชี้! ยืดเวลากฎหมาย ส.ส. 90 วัน เป็นแผน 'สืบทอดอำนาจ'

  ‘องอาจ’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แปลกใจยืดเวลากฎหมาย ส.ส. 90 วัน ระบุ เป็นแผนการ ‘สืบทอดอำนาจ’ ที่ดำเนินการมาเป็นขั้นตอน     วันที่ 21 ม.ค. 61 -- นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีมติเสียงข้างมาก ให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ 90 วัน ซึ่งการยืดเวลาบังคับใช้กฎหมายจะทำให้โรดแมปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศ ยืดออกไปจากเดือน พ.ย. 2561 ว่า ส่วนตัวเห็นว่าไม่แปลกใจ และไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะผู้มีอำนาจเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ไม่เสร็จ จึงต้องหาช่องทางทอดระยะเวลา     นายองอาจ กล่าวอีกว่า ดังนั้น การขยายเวลานี้ จึงเป็นแผนการ ‘สืบทอดอำนาจ’ ที่ดำเนินการมาเป็นขั้นตอน เริ่มจากไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง ใช้มาตรา 44 รีเซ็ตสมาชิกพรรค และสุดท้าย ยืดเวลาบังคับใช้กฎหมาย 90 วัน ในช่วงที่มีความชัดเจนว่า จะต้องมีการตั้งพรรคใหม่ และดูดนักการเมืองจากพรรคเก่า อย่างไรก็ตาม ฝากผู้มีอำนาจช่วยไตร่ตรองว่า การ ‘สืบทอดอำนาจ’ โดยไม่ชอบธรรม อาจนำพาประเทศไปสู่ปัญหาใหม่     ขณะที่ นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย 90 วัน เพราะผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 และ 268 ที่ต้องการจัดให้มีการเลือกตั้ง เนื่องจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนหลายครั้ง และเชื่อว่า กรธ. ได้ตรวจสอบและรับรองเรื่องกรอบระยะเวลาในการนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างละเอียดแล้ว     นายนิกร กล่าวต่อว่า ดังนั้น หากขยายกรอบระยะเวลา ก็ย่อมทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังผิดต่อความต้องการของประชาชน ที่ได้ใช้สิทธิออกเสียงประชามติ เพราะคาดหวังว่า หากเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว รวมทั้งผิดในเชิงผลประโยชน์ขัดกันของ สนช. โดยตรง เรพาะการขยายส่งผลให้ สนช. ต้องดำรงตำแหน่งต่อ และถูกกล่าวหาว่า สร้างผลงานให้ได้กลับมามีอำนาจในวุฒิสภาต่อ นายนิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า การขยายเวลาดังกล่าว จะนำไปสู่ความเสียหายหลายฝ่าย รวมถึงภาพลักษณ์ของ สนช. และ คสช. ขณะเดียวกัน อาจทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาชาติที่มีต่อนายกรัฐมนตรี ที่เคยประกาศเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561