นายกรัฐมนตรี ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านทุจริต เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ประกาศกวาดล้างคนทุจริตอย่างเด็ดขาด เอาผิดทั้งวินัย และอาญา แต่จะไม่ล้วงลูกการทำงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ขณะที่ป.ป.ช.เตรียมสรุปคดีนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร ภายในเดือนนี้
วานนี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในงาน วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ประจำปี 2561 ที่มี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วม
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตว่า ปัญหาการทุจริตเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติและของโลก โดยยืนยันว่าจะเอาผิดผู้ที่คอร์รัปชั่นทั้งทางวินัย และ อาญา อย่างเด็ดขาด พร้อมเรียกร้องให้ผู้ที่คิดจะทำการทุจริต มีความละอายใจต่อบาป
ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวยอมรับว่า แม้จะดำเนินการในเรื่องการปราบปรามการทุจริตจริตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงไม่สามารถปราบปรามได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าสามารถดำเนินการได้มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา และการดำเนินคดีจะต้่องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และกระบวรการยุติธรรม ซึ่งตนไม่สามารถก้าวล่วงได้
ด้าน นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีครอบครองนาฬิกาหรูของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ณ ขณะนี้ ทางบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาที่ต่างประเทศ ส่งข้อมูลเกี่ยวกับซีเรียลนัมเบอร์ของนาฬิการุ่นเดียวกับที่ พล.อ.ประวิตร ครอบครองมาให้ ทาง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทาง ป.ป.ช.จะเร่งสรุปสำนวนพร้อมความเห็นเพื่อเสนอต่อที่ประชุมในช่วงปลายเดือนนี้ ส่วนจะได้ข้อสรุปเป็นอย่างไร ขึ้นกับดุลพินิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ขณะที่ พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ระบุถึงกรณีปัญหาประกาศให้จเ้าหน้าที่ของรัญแสดงบัญชีทรัพย์สิน จนทำให้บอร์ดหน่วยงานต่างๆลาออกจำนวนมาก ว่า เบื้องต้น ป.ป.ช.ได้ขยายระยะเวลาการยื่นบัญชีทรัพย์สินออกไปอีก 60 วัน โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
แต่ถ้ายังมีปัญหาอยู่ อาจจำเป็นต้องเสนอที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 โดยอาจโยกตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องยื่นและเปิดเผยตามมาตรา 102 และ 106 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาอยู่ในมาตรา 103 คือ ยื่นแต่ไม่เปิดเผยแทน โดยเชื่อว่าเป็นทางออกที่ดีในขณะนี้ หากดำเนินการตามแนวทางนี้อาจทำให้สถานการณ์เบาลงไป แต่ถ้าจะให้ไม่ต้องยื่นเลย อาจเป็นไปได้ยาก