พรรคตรงข้าม คสช. ลั่นเข้าสภาได้ แก้ “รัฐธรรมนูญ” ทันที

นายโภคิน  พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สังคมไทยถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมและความคิดแบบอำนาจนิยม เป็นหัวใจของเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่เพียงประชาชน แยังรวมไถึงกระบวนการยุติธรรม ขณะที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ระบุว่าอำนาจเป็นของประชาชน หน่วยงานต่างๆต้องยึดหลักนิติธรรม แต่กลับใช้มาตรา 44 ให้ถือว่า ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการตอกย้ำแนวคิดดังกล่าว ซึ่งการยึดอำนาจนั้นเป็นการโกงประชาชน ยิ่งเขียนเรื่องการนิรโทษกรรมผู้ยึดอำนาจ กระบวนการ และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งศาลเองก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ไปด้วย ซึ่งปัญหาคือ ทำอย่างไรให้ศาลไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

“ประเทศนี้น่ารักตรงที่ บางยุคมีนายกที่โปร่งใส แต่เมื่อมีบางเรื่องที่ไม่โปร่งใสขึ้นมา พอประชาชนถาม เขากลับบอกว่าต้องเชื่อ เพราะผมเป็นคนโปร่งใส นี่คือตรรกะของระบอบอำนาจนิยม ขณะที่อีกคนบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับปราบโกง ต้องโปร่งใส แต่เมื่อขอให้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน กลับลาออกจากตำแหน่ง แล้วสรุปว่าใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดี หากเราแก้ความคิดเรื่องอำนาจนิยมไม่ได้ เราก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวงเวียนนี้ได้ สิ่งสำคัญ คือการทำให้สังคมเข้าใจ ผ่านกลไกลการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้าน สร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนผ่านกลไกต่างๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าประชาธิปไตยกินได้ และเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มีปัญหาอย่างไร”

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ ต้องอาศัยเสียงพรรคฝ่ายค้าน 20% สว.อีก 1 ใน 3 หรือหากเป็นประเด็นสำคัญต้องผ่านประชามติ แม้ในทางตัวอักษรจะเขียนว่าแก้ได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจากเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้พรรคอนาคตใหม่มองว่า มาตรา 279 เป็นหลุมดำ ที่ทำให้รัฐธรรมนูญไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ควรต้องมีการยกเลิก เมื่อยกเลิกแล้ว บรรดาประกาศของคสช.จะไม่มีเกราะคุ้มกันอีกต่อไป ทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ จากนั้นต้องมีการนำประกาศคำสั่ง คสช.มาพิจารณาใหม่ทั้งหมด หากฉบับไหนสามารถใช้ได้ ให้นำเข้าสภา เปลี่ยนเป็นพ.ร.บ. หรือ กฎกระทรวง แต่ประกาศฉบับไหนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต้องยกเลิก และผู้เสียหายต้องได้รับการเยียวยา ทั้งนี้ในวันที่ 25 ก.พ. หลังการเลือกตั้ง 1 วัน พรรคอนาคตใหม่ จะเริ่มรณรงค์แคมเปญแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที

ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย กล่าวว่า การตั้งต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ตั้งแต่เริ่ม เมื่อคนที่แสดงความเห็น ไม่เห็นด้วยกับการร่างถูกเชิญตัวไป ขณะที่คนที่สนับสนุน กลับได้รับโอกาสในการแสดงออกอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามหากผู้มีอำนาจยึดหลักประชาธิปไตยในการร่าง ผลลัพธ์คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งการทำประชามติครั้งที่ผ่านมา เป็นการรณรงค์อยู่ฝ่ายเดียวคือฝ่ายสนับสนุน สมเจตนาของผู้มีอำนาจ อย่างไรก็ดี หากรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยจริง คะแนนการลงประชามติต้องเป็นเอกฉันท์ แต่ที่ผ่านมากลับไม่เป็นไปตามนั้น เพราะคะแนนที่ไม่เห็นด้วยกลับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ขณะที่วิกฤตที่รุนแรงของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวคือ การมี มาตรา 44  เท่ากับว่าประชาชนโดนยึดอำนาจได้ทุกวัน ตอกย้ำว่า ม.44 อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ สวนทางกับคำพูดที่บอกว่าจะปฏิรูป ม.35 ระบุเรื่องสิทธิเสรีภาพ ของสื่อมวลชน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมีการตรวจสอบผู้มีอำนาจ กลับถูกเรียกไปปรับทัศนคติ