svasdssvasds

BreakingNews : ยืมเพื่อนจริง ! "ป.ป.ช." ชี้ "บิ๊กป้อม" ไม่ใช่เจ้าของนาฬิกาหรู - แหวนคือมรดกเก่า

BreakingNews : ยืมเพื่อนจริง ! "ป.ป.ช." ชี้ "บิ๊กป้อม" ไม่ใช่เจ้าของนาฬิกาหรู - แหวนคือมรดกเก่า

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาวาระที่คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีถือครองนาฬิกาหรู และแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ได้อยู่ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยในการประชุมครั้งนี้ มีกรรมการ ป.ป.ช.เข้าร่วมประชุมจำนวน 8 คน โดยมีนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป.ป.ช. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยที่ประชุมใช้เวลาพิจารณาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 20 นาที ตั้งแต่เวลา 11.40 – 14.00 น. ทั้งนี้ ปรากฏว่า นายเอกชัย หงส์กังวาน แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ได้มาติดตามการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของ ป.ป.ช. ตั้งแต่ช่วงสาย ก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ให้เข้าร่วมฟังการแถลงข่าวได้

จากนั้น เวลา 15.40 น. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า กรณีปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่า พล.อ.ประวิตร สวมใส่นาฬิกาหรู แต่ไม่แจ้งนาฬิกาดังกล่าวในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 4 ก.ย. และกรณีที่มีผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร ว่าจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่แสดงนาฬิกาหรูและแหวนประดับมีค่าที่สวมใส่ในโอกาสต่างๆ ที่ปรากฏเป็นภาพข่าวตามสื่อมวลชนนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบปรากฏว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ให้ พล.อ.ประวิตร ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จำนวน 4 ครั้ง

นายวรวิทย์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาแล้วว่านาฬิกาทั้งหมดจำนวน 22 เรือน ได้ยืมจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิทและได้คืนไปหมดแล้ว ส่วนแหวนมีทั้งที่เป็นมรดกของบิดาที่มารดามอบให้ระหว่างที่ พล.อ.ประวิตร ดำรงตำแหน่งดังกล่าว บางวงเป็นแหวนรุ่นหรือแหวนวัตถุมงคลมีมูลค่าไม่สูงมาก จากการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขอเอกสารหลักฐานจากผู้แทนจำหน่ายนาฬิกาหรูในประเทศไทย รวมทั้งขอเอกสารและความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตรวจสอบการสำแดงรายการนาฬิกาที่นำเข้าจากต่างประเทศรวมทั้งผู้จำหน่ายนาฬิกาในต่างประเทศ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายปัฐวาท เป็นนักธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินและมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากและชอบสะสมนาฬิการาคาแพง ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบพบว่ามีการเก็บรักษานาฬิการาคาแพงอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท จำนวนมากกว่าที่ร้องเรียน

นายวรวิทย์ กล่าวว่า จากคำให้การของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อเท็จจริงว่านายปัฐวาท เป็นคนมีฐานะดี คอยช่วยเหลือสนับสนุนทางด้านการเงินให้กับกลุ่มเพื่อนที่เคยศึกษาที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และได้ให้เพื่อนในกลุ่มโรงเรียนเซนต์คาเบรียลยืมนาฬิกา ราคาแพงไปใช้สวมใส่ ซึ่งรวมถึง พล.อ.ประวิตร เพื่อนร่วมห้องเดียวกับนายปัฐวาท ที่มีความสนิทสนมกันด้วย นอกจากกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลแล้ว นายปัฐวาท ยังให้เพื่อนกลุ่มอื่นยืมนาฬิกาไปสวมใส่ด้วยเมื่อพิจารณาภาพของนาฬิกาจำนวน 25 เรือนที่ปรากฏเป็นข่าวพบว่ามีภาพซ้ำกัน 3 คู่ จึงมีนาฬิกาที่ต้องตรวจสอบจำนวน 22 เรือน โดยพบว่าอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท จำนวน 20 เรือนและพบใบรับประกันนาฬิกาอีก 1 เรือนแต่ไม่พบตัวเรือน รวมเป็น 21 เรือน โดย 21 เรือนดังกล่าวพบหลักฐานว่านายปัฐวาท เป็นผู้ซื้อจากผู้จำหน่ายในต่างประเทศจำนวน 1 เรือน ซื้อต่อจากผู้อื่นจำนวน 2 เรือน ส่วนที่เหลือไม่พบหลักฐานการซื้อจากผู้จัดจำหน่ายภายในประเทศ และกรมศุลกากรก็ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันการนำเข้านาฬิกาจากต่างประเทศได้เพราะผู้นำเข้าบางรายไม่สำแดงข้อมูลรายละเอียดของนาฬิกา ในส่วนการขอข้อมูลการซื้อขายนาฬิกาจากต่างประเทศ บางประเทศได้ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล หรือบางประเทศตอบว่าไม่สามารถตรวจสอบได้

นายวรวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานฟังได้ว่านาฬิกาที่ปรากฏเป็นข่าวเก็บรักษาอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท และเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิการาคาแพงที่นายปัฐวาท ได้สะสมไว้ แม้ไม่ปรากฏเอกสารการซื้อขายว่านายปัฐวาท เป็นผู้ซื้อนาฬิกาดังกล่าว แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1369 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการยึดถือเพื่อตน จึงต้องด้วยบทสันนิษฐานตามกฎหมายดังกล่าวว่านายปัฐวาท เป็นเจ้าของนาฬิกาตามภาพข่าวจำนวน 21 เรือน และได้ให้ พล.อ.ประวิตร ยืมใช้ในโอกาสต่างๆ ตามที่ปรากฏในภาพข่าว ประกอบกับนายปัฐวาท ได้ให้เพื่อนคนอื่นยืมใช้นาฬิการาคาแพงด้วย จึงรับฟังว่าเป็นการกระทำโดยปกติของนายปัฐวาท ที่ช่วยดูแล กลุ่มเพื่อนเก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลที่สนิทสนมกัน รวมถึงเพื่อนกลุ่มอื่นด้วย ในส่วนของนาฬิกาอีก 1 เรือน ที่ไม่พบตัวเรือนและไม่พบใบรับประกันนั้น จากการตรวจสอบยังไม่พบรายละเอียดข้อมูลนาฬิกาเรือนดังกล่าว แต่เมื่อนาฬิกาเป็นสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย และนายปัฐวาท ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเมื่อรับฟังว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืมนาฬิกาจากนายปัฐวาท มาสวมใส่ในการออกงานต่างๆ จำนวน 21 เรือนข้างต้น จึงรับฟังได้ว่า พล.อ.ประวิตร ได้มีการยืมนาฬิกาเรือนที่ยังตรวจสอบไม่พบมาสวมใส่เช่นกัน ทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่านายปัฐวาท และบริษัทคอม-ลิ้งค์ เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่อย่างใด

เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีแหวนที่ปรากฏตามภาพข่าวที่ พล.อ.ประวิตร สวมใส่จำนวน 12 วง นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าแหวนจำนวน 3 วง เป็นทรัพย์มรดกของบิดาของ พล.อ.ประวิตร ที่ได้รับมาจากมารดาในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงแหวนดังกล่าวในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณี เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว แหวนที่เหลือเป็นแหวนที่เป็นสัญลักษณ์หน่วยทหาร หรือแหวนวัตถุมงคลที่มีราคาไม่มากนำมาใส่เพื่อเป็นสิริมงคล หรือใส่เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของสังกัด จึงไม่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เช่นกัน

“จากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 3 ว่า กรณียังไม่มีมูลเพียงพอว่า พล.อ.ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น โดยกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นอกจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้แจ้งข้อมูลนาฬิกาจำนวน 22 เรือน ต่อกรมศุลกากรเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป”นายวรวิทย์ กล่าว

เมื่อถามว่าประเด็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ตามมาตรา 128 พ.ร.ป.ป.ป.ช. ยุติไปด้วยหรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวมีคณะทำงานอีกชุดดำเนินการตรวจสอบ เมื่อถามย้ำว่า ถือว่าเรื่องดังกล่าวยุติไปเลยหรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า ในเรื่องการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าไม่มีมูล ส่วนนาฬิกา 22 เรือนที่ส่งเรื่องให้กรมศุลกากรดำเนินการนั้น จะเป็นการดำเนินของกรมศุลกากร ซึ่งจะไม่มีการส่งเรื่องมาที่ ป.ป.ช.อีก

เมื่อถามว่า ป.ป.ช.มั่นใจได้อย่างไรว่านาฬิกาทั้งหมดที่พบที่บ้านนายปัฐวาทเป็นของนายปัฐวาทจริง นายวรวิทย์  ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว เพียงแต่กล่าวสั้นๆ ว่า เรื่องนี้มีการชี้แจงในการเอกสารการแถลงข่าวของ ป.ป.ช.แล้ว

[gallery columns="1" size="full" ids="409938,409939"]

รายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า สำหรับกรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงนั้น เห็นว่า การสอบสวนยังสามารถดำเนินการต่อไปได้อีก โดยเฉพาะเรื่องการทำความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ต้องดำเนินการโดยอัยการ อย่างไรก็ดี กรรมการเสียงข้างมากเห็นว่า ส่วนใหญ่การทำความร่วมมือระหว่างประเทศดังกล่าว การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินมักไม่ทำกันในระดับนานาชาติ เรื่องที่ทำกันส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา อีกทั้งในอิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีการทำความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการตรวจสอบ ดังนั้น ถ้าเกิดเดินต่อไปจะถือว่าเป็นการถ่วงเวลา หรือยื้อเรื่องนี้ออกไปอีกเปล่าๆ จึงควรจบเรื่องเพียงเท่านี้ กรรมการเสียงข้างน้อยเลยระบุว่า อยากให้สอบต่อไปเพื่อให้สิ้นกระแสความ เพราะเท่าที่ทำถึงตอนนี้ถือว่ายังไม่ได้เต็มที่ ยังมีช่องที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมได้อีก ทั้งนี้ ตามกฎหมายใหม่ ป.ป.ช. กำหนดให้กรรมการที่เข้าร่วมพิจารณาคดีต้องทำความเห็นส่วนบุคคลทั้งหมด เพื่อให้ทราบว่ามีความเห็นต่อเรื่องนั้นอย่างไร

รายงานข่าวระบุอีกว่าสำหรับความเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อย 3 ราย ยังมีการตั้งข้อสังเกตคดีนี้เทียบกับคดีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กรณีการครอบครองรถโฟล์ค ราคา 2.9 ล้านบาท ที่อ้างว่า ภรรยายืมเพื่อนนักธุรกิจมา จึงไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน แต่เมื่อ ป.ป.ช. สอบเชิงลึกพบว่า การยืมรถยนต์มูลค่าเกือบ 3 ล้านบาท ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังพบพฤติการณ์พบว่า ในส่วนของการต่อทะเบียน หรือลักษณะอื่นๆ ไม่น่าจะเป็นการยืม จึงมีมติชี้มูลความผิดนายสุพจน์ กรณีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน

 

 

 

related