วงเสวนาเปิดวิสัยทัศน์พรรคการเมือง จะทำอะไรเพื่อสื่อของเด็ก ผ่านตัวแทน 6 พรรคการเมือง ร่วมสะท้อนแนวคิดการผลิตสื่อสำหรับพัฒนาเยาวชน เหล่านักการเมืองต่างแสดงความเห็นที่แตกต่างในการสร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็กไทยในอนาคตโดยส่วนใหญ่มองว่ารัฐควรมีบทบาทที่ชัดเจนในเรืองนี้มากกว่านี้ แต่ไม่ใช่การเข้าควบคุม
เวทีเสวนาสาธารณะว่าด้วยหัวข้อ จะทำอะไรเพื่อสื่อของเด็ก ผ่านมุมมอง 6 ตัวแทนพรรคการเมือง คือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาธิปัตย์ นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ พรรคเพื่อไทย น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พรรคอนาคตใหม่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ พรรคภูมิใจไทย นางชยิกา วงศ์นภาจันทร์ พรรคไทยรักษาชาติ นางสาววทันยา วงษ์โอภาสี พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์ ผ่านนโยบายของแต่ละพรรค
โดย น.ส.วทันยา ตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า สำหรับสื่อเพื่อเยาวชนในยุคปัจจุบัน รัฐบาลต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งกองทุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้ามาจัดสรรงบร่วมกัน แต่ที่ผ่านมาไม่มีการกำหนดเลยว่าให้จัดทำสื่อเพื่อเยาวชนของชาติ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อสนับสนุนสื่อให้ผู้ผลิตมีกำลังในการผลิตสื่อที่เนื้อหาตอบโจทย์
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลีใต้เสนอผ่านซีรีย์ ที่ปลูกฝังให้เยาวชนในประเทศสร้างจิตสำนึก และซึมซับวัฒนธรรมของประเทศ ขณะในแง่ของผู้ประกอบการก็ต้องหมนุวนตามวงจรของระบอบทุนนิยม ที่จำเป็นต้องเสนอเนื้อหาเพื่อแข่งขันเรทติ้งให้ตอบโจทย์กลุ่มทุน หากมีการจัดตั้งกองทุนดังที่เสนอจะทำให้มีการผลิตสื่อที่มีจริยธรรมและสร้างจิตสำนึกของเยาวชนที่ดีได้ ส่วนภาพลักษณ์ของอีสปอร์ตต้องผลักดันและสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารายได้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างกล่าวกระโดด ตราบใดที่เรามาถกเถียงกัน มันก็ไม่สามารถทำให้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ตรงจุด
ขณะที่ น.ส.กุลธิดา ตัวแทนพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่าเนื่องจากการศึกษา กับสื่อ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ การรู้เท่าทันสื่อ จึงเป็นสิ่งที่ทุกเพศทุกวัยควรศึกษา โจทย์หลักควรเป็นเรื่องหลักสูตรที่เป็นการเรียนการสอนอย่างแท้จริงได้ คือจะบูรณาการให้เกิดเป็นรูปธรรมในห้องเรียนได้อย่างไร ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของสื่อ เพื่อที่จะสื่อสารกับเด็กและวางกฎเกณฑ์ร่วมกัน สำหรับแพลตฟอร์มสื่อในปัจจุบัน ยังไม่สามารถเข้าถึงและเปิดโอกาสให้เด็กสร้างสื่อได้เท่าที่ควร จึงอยากเสนอให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันจัดกิจกรรม รวมถึงการกระจายการเข้าถึงสื่อในทุกพื้นที่ และเปิดโอกาสให้เด็กเข้าถึงการผลิตสื่อให้เท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการผลิต
ด้าน นางชยิกา ตัวแทนพรรคไทยรักษาชาติ ให้ความเห็นว่าถ้าเราอยากให้เด็กไทยก้าวทันโลกในยุคศตวรรษที่21 สิ่งที่ต้องทำคืออยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแล ควบคู่ไปกับการปฎิรูปการศึกษา ด้วยความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เช่น การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเด็กและเยาวชนมีความรู้ตรงนี้ จะสามารถแยกแยะได้ว่าสื่อแบบใหนดีหรือไม่ดี ดังนั้นสิ่งที่อยากเสนอคือให้ความรู้กับผู้ใหญ่ ส่วนรัฐต้องไม่ใช่ผู้ควบคุมเนื้อหาที่ถูกสื่อสาร แต่ต้องมองในลักษณะส่งเสริม โดยไม่ใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปกป้องความมั่นคงของประเทศอย่างเดียว แต่ต้องปกป้องประชาชนด้วย สำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเกม สิ่งที่ภาครัฐจะต้องทำคือการตรวจสอบว่ามีเนื้อหาเหยียดเพศหรือมีความรุนแรงเกินไปหรือไม่ จึงจำเป็นต้องดูที่ความเหมาะสมเป็นหลัก
ขณะที่ นายพริษฐ์ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่าถึงแม้สิ่งที่นำเสนอจะมีสาระน่าสนใจเพียงใด แต่ไม่สนุกพบว่าไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เช่นเดียวกับโลกโซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายเสมอไป แต่ยังสามารถทำให้เยาวชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร โดยพรรค ปชป. เห็นว่ารัฐไม่ควรเข้าไปควบคุมหรือผลิตเอง แต่ความเป็นจริงต้องปล่อยให้กลไกของตลาดดำเนินตามกระบวนการไป โดยมีสามแนวทางที่อยากเสนอคือ กำหนดการส่งเสริมประสิทธิภาพสื่อผ่านกองทุน ขณะที่ตัวแทนในการผลิตสื่อต้องมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รวมถึงการลดหย่อนภาษี ในที่สุดแล้วต้องทำให้สถาบันการศึกษาสามารถผลิตสื่อเองได้
นางลดาวัลลิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะใช้สื่อในโลกยุคใหม่ เป็นแรงขับเคลื่อนทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาสื่อไทยล่มสลายในทุกมิติ โดย กสทช. มองข้ามการส่งเสริมไปโฟกัสที่การแข่งขันทำให้สื่อหลายแห่งขาดทุนกันถ้วนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว ดังนั้นภาครัฐต้องเป็นผู้ควบคุมไม่ให้ทุนเข้ามาควบคุมการนำเสนอเนื้อหา แต่ที่ผ่านมาอายุรัฐบาลสั้น ทำให้ไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ที่เข้ามาดูแลไม่มีความรู้และความเข้าใจ โดยประเด็นนี้พรรคเพื่อไทยมีแนวทางในการยกระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกคนมีศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับสื่อวิทยุต้องตั้งคำถามว่าคลื่นของทหารมีเยอะไปหรือไม่ จึงอยากให้ส่งเสริมให้วิทยุชุมชนกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ส่วนนายสิริพงศ์ ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือภาครัฐมีอำนาจมากเกินไป จึงอยากเสนอให้ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจให้ประชาชน สำหรับเวลาพาร์มไทม์ที่ถูกกำหนดในยุทธศาสตร์ชาติมองว่ามันล้าสมัย ขณะหน่วยงานต่างๆเข้ามากำกับแต่ไม่คิดถึงคนดูว่าจะทำให้ใครดู ดังนั้นรัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ต้องเปลี่ยนเป็นวิธีคิดแบบเอกชน ว่าจะสร้างสังคมอย่างไรให้เด็กเติบโตขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดคือผู้ปกครอง ที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ต่างจากประเทศญี่ปุ่น ที่สร้างชาติด้วย การ์ตูน ที่สร้างสำนึกให้คนในประเทศ วันนี้เราจะสอนเด็กอย่างเดียวไม่พอ ต้องสอนผู้ปกครองด้วย โดยสร้างภูมิกันให้เด็กเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเข้าถึงเนื้อหา