BreakingNews : กลาโหมกางงบย้อนหลัง 25 ปี ย้ำเพิ่มขึ้นตามงบประเทศ [คลิป]

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงงบประมาณกลาโหม หลังมีพรรคการเมืองนำไปโจมตีในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ว่า การจัดทำงบประมาณในภาพรวมของประเทศ เป็นไปตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผู้พิจารณาส่วนใหญ่ในสภาก็คือนักการเมือง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม จะมีการจัดสรรงบฯ แต่ละกระทรวงตามขนาดและภารกิจที่ได้รับ โดยกระทรวงกลาโหม ได้รับงบฯ สูงเป็นลำดับที่ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง

สำหรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นหน่วยความมั่นคง นอกจากภารกิจในการป้องกันประเทศแล้ว ยังต้องมีการรักษาความมั่นคงภายใน การพิทักษ์รักษาสถาบัน ผลประโยชน์ของชาติ การพัฒนาประเทศ รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุสาธารณภัยต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสนับสนุนรัฐบาล กรณีเกิดปัญหา เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด การตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบนำเข้าสิ่งของผิดกฎหมาย

ประกอบกับขนาดของกองทัพที่เติบโตตามภัยคุกคามของประเทศ ก็ต้องมีการเพิ่มกำลังพล และเกณฑ์ทหารมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐบาลหรือสังคมเป็นผู้กำหนด และเมื่อกองทัพใหญ่ขึ้น การจัดสรรงบประมาณสำหรับกำลังพลก็ต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากกระทรวงอื่น เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรผิดเพี้ยน หรือซ่อนเร้น

สำหรับงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2536-2541 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรเฉลี่ยถึง 12.7% ของงบประมาณทั้งหมด

ปี 2542 เข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจ กระทรวงกลาโหม ได้รับจัดสรรงบประมาณเฉลี่ย 9.34%

ปี 2543-2549 กระทรวงกลาโหม ได้รับจัดสรรงบประมาณเฉลี่ย 7.76%

ปี 2550-2562 กระทรวงกลาโหม ได้รับจัดสรรงบประมาณเฉลี่ย 7.79%

ปี 2562 วงเงิน 227,126.57 ล้านบาท คิดเป็น 7.57% ของงบทั้งประเทศ แค่คิดเป็น 1.31 ของ GDP ทั้งประเทศ

โดยแยกเป็นงบรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ 46.87% หรือ ประมาณประมาณ 106,460 ล้านบาท งบภารกิจพื้นฐาน 23.79% หรือ 54,042 ล้านบาท งบภาระผูกพัน 14.58% หรือ 33,117 ล้านบาท และงบโครงการต่างๆ 14.75% หรือ 33,506 ล้านบาท

และเมื่อเปรียบเทียบงบประมาณกระทรวงกลาโหมของไทย กับประเทศอาเซียนแล้ว กระทรวงกลาโหมของไทยจัดอยู่ในลำดับที่ 6 เทียบเท่ากับ ฟิลิปปินส์ และหากดูภาพรวมของตัวเลขแต่ละปีแล้ว ประเทศอาเซียนก็จัดสรรงบตามขนาดผลประโยชน์ของประเทศชาติที่มีอยู่ เพื่อเสริมสร้างกำลังของกองทัพในการดูแลประเทศ

พลโท คงชีพ ย้ำว่า งบประมาณของประเทศคือภาษีของประชาชน ซึ่งทหารและข้าราชการทุกคนก็เสียภาษีด้วยเช่นกัน ซึ่งการแถลงข่าวในวันนี้เกิดจากมีการให้ข้อมูลคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง และอาจเกิดการเข้าใจผิด โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีของรัฐบาล คสช. ใช้งบไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ทั้งที่ควรดูตัวเลขแต่ละปีให้รอบคอบ แม้ว่าวงเงินที่กระทรวงกลาโหมได้รับแต่ละปี จะเพิ่มขึ้น ก็เพิ่มไปตามงบภาพรวมรายจ่ายประจำปี ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งในอดีตวงเงินงบประมาณภาพรวมอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาท แล้วก็พัฒนามาเป็นกว่า 2 ล้านล้านบาท ปัจุจุบันขึ้นมาที่กว่า 3 ล้านล้านบาทแล้ว

เมื่อถามว่าหากมีการตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% จะส่งผลกระทบต่อกองทัพหรือไม่ โฆษกกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า จะส่งผลกระทบในหลายส่วน ไม่ใช่แค่งานด้านความมั่นคงของทหาร แต่กระทบไปถึงการช่วยเหลือประชาชน การแก้ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ขณะเดียยกันกองทัพก็พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ หรือ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ตามวิถีประชาธิปไตย โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อทำความเข้าใจไปด้วยกัน และพร้อมปรับลดขนาดกองทัพให้เหมาะสม เพื่อผลประโยชน์ของชาติ เพียงแต่อยากได้รายละเอียด ไม่ใช่การพูดลอยๆ ส่วนประเด็นการไม่เกณฑ์ทหาร ยอมรับว่า ต้องมีแรงจุงใจในการให้ประชาชนเข้ามาสมัครมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเงินเดือน และสวัสดิการ ที่ต้องเพิ่มขึ้นและอยู่ในเกณฑ์ดี

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ เหตุใดพรรคการเมืองจึงเน้นเสนอตัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยไม่มีกระทรวงอื่น สาเหตุเนื่องมาจากเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมืองใช่หรือไม่ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตอบลำบาก จึงอยากให้ไปถามฝ่ายการเมืองมากกว่า ทั้งนี้ถ้าประชาชนไม่ต้องการ จะมาด้วยวิธีไหนก็อยู่ไม่ได้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป บ้านเมืองมีระบบที่ดี แต่ปัญหาอยู่ที่คน คนเราต้องมีความเปลี่ยนแปลง พัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น

ส่วนช่วงนี้มีการโจมตีทหารเพราะขายข่าวได้นั้น ไม่ขอแสดงความเห็น แต่ยืนยันว่าการจัดทำงบประมาณในสมัย พลเอก ประยุทธ์ อยู่ในกระบวนการที่สามารถตรวจสอบได้ โปร่งใสมากขึ้น ตามพระราชบัญญัติงบประมาณที่ออกมาใหม่ และย้ำว่าการเป็นรัฐบาลทหาร ก็ไม่ได้เอื้อให้กับกองทัพ ในการจัดสรรงบประมาณ

สำหรับสัปดาห์หน้า ตนจะชี้แจงเรื่องของการเกณฑ์ทหาร ภายหลังการประชุมสภากลาโหม