svasdssvasds

"บิ๊กตู่" ชี้กลุ่มก่อเหตุใต้ “พวกหัวรุนแรง” ไม่ยอมเจรจา

"บิ๊กตู่" ชี้กลุ่มก่อเหตุใต้ “พวกหัวรุนแรง” ไม่ยอมเจรจา

"บิ๊กตู่" เผย เหตุยิง "ชรบ." มีข้อมูลใครทำ คงได้ความคืบหน้าเร็ววันนี้ เผย ต้องคุยกลุ่มที่มีบทบาทก่อเหตุที่แท้จริง แต่ปัญหา แต่พวกหัวรุนแรงรุ่นใหม่ ไม่ยอมเจรจา

วันนี้ (8 พ.ย. 62) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำเหล่าทัพ เข้าร่วมการประชุม โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการประชุมแต่อย่างใด

หลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ กรณีการประกาศเคอร์ฟิว การห้ามออกจากเคหสถานในเวลาค่ำคืน ภายหลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายยิงถล่มชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา แต่จะกำหนดเวลาให้สั้นที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน สอบสวนทางคดี และเพื่อเป็นการจำกัดพื้นที่ของคนร้ายในช่วงที่มีการไล่ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ โดยยืนยันว่า ไม่อยากให้มีผลกระทบต่ออย่างอื่น แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งหากเราปิดพื้นที่ไม่ได้ ก็จะมีปัญหา ส่วนนี้ขอให้เข้าใจกันด้วย

เมื่อถามว่า มีรายงานว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนหน้าขาว ภายหลังก่อเหตุเสร็จสิ้น จะกลับไปนอนอยู่บ้าน ส่วนนี้จะมีการติดตามจับกุมอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การสืบสวน สอบสวนวันนี้มีความคืบหน้า แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ต้องใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จะไปจับใครก็ได้ ต้องเอาหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุมาติดตาม ซึ่งเราก็มีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งอาวุธ​ปืน กระสุนและปอกกระสุน พร้อมมีข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดและมีกลุ่มใดเกี่ยวข้องบ้างก็จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน คงจะได้รับทราบความคืบหน้าภายในเร็ววันนี้ ขอเวลาอีกหน่อย

เมื่อถามต่อว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้วัตถุระเบิด จะถือเป็นการก่อการร้ายมากกว่าการก่อความไม่สงบได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พวกเขาใช้กลยุทธ์เช่นนี้ เป็นกลยุทธ์การก่อการร้าย คือ การสร้างเหตุความรุนแรงเพื่อกดดันต่อรัฐ และการทำงาน แล้วเราจะไปกดดันกันเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนา และสร้างการมีส่วนร่วม เราแก้ปัญหากันอย่างนี้ ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนการก่อการร้ายนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การยึดพื้นที่ การใช้ความรุนแรง แต่เหตุการณ์นี้เข้าข่ายแค่ใช้อาวุธสงคราม เพื่อกดดันรัฐ แต่หากเราตีความผิด การแก้ปัญหาก็จะผิดและเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น ท้ายสุดผลกระทบก็จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวันนี้เราลดระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้มากพอสมควร ประชาชนก็กลับมาให้ความร่วมมือ แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายบางตัว ประชาชนก็เห็นด้วย เพราะเขาดูแล้วว่าเกิดประโยชน์กับเขา ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่คนที่มักจะมีปัญหาในเรื่องนี้ คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว

“ผมคิดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน อยากไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใครทั้งสิ้น แต่ไปดูผู้ก่อเหตุว่า สิ่งที่เขาทำ มันละเมิดสิทธิมนุษยนชนประชาชนหรือไม่ ในการทำร้ายประชาชนทั้งผู้บริสุทธิ์ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ไทยพุทธอย่างเดียว แต่ครั้งนี้เป็นการทำร้ายทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเลิกนู่น เลิกนี่ แล้วทำไปเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นก็ลองไปอยู่ในพื้นที่เขาดู ว่าจะทำอย่างไร ลองไปอยู่กับเขานานๆ จะได้รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ได้รับรายงานการหารือเกี่ยวกับการพูดคุยสันติสุขจากมาเลเซียบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้รับรายงานตลอด ก่อนเขาไป ตนก็ได้ให้นโยบายไป เมื่อเขากลับมาก็รายงานตน ก็ให้มีการปรับแผนกันไป ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกลุ่มที่มีบทบาทอย่างแท้จริง โดยจะเน้นในเรื่องของจะทำอย่างไรให้ในพื้นที่ปลอดภัย และมีสันติสุขอย่างยั่งยืน ต้องคุยกัน และปรับวิธีต่อเนื่อง เพราะมีหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายระดับทั้งผู้นำระดับการเมือง การทหาร ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

ซึ่งคนรุ่นเก่านั้น ค่อนข้างจะพูดคุยในด้านสันติวิธีมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ก็พยายามสร้างคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาแทน เราต้องหาวิธีการว่าจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ดังนั้น จะต้องเจรจากับกลุ่มที่มีบทบาทแท้จริงในการก่อเหตุ แต่ปัญหาคือ เขาจะคุยด้วยหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่อยากมาเจรจา เพราะคงอยากใช้วิธีเดิมต่อไป พวกนี้คือพวกหัวรุนแรง เราบังคับไม่ได้ ถึงต้องไปพูดคุยที่ต่างประเทศ แต่ไม่ใช่การเจรจา เพราะถ้าเจรจาหมายถึงเรารบกันแล้ว จึงต้องเจรจาหยุดยิง แต่อันนี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และทางมาเลเซีย ก็ตอบสนองด้วยดีตลอดมา แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายอันที่ต้องแก้ควบคู่กันไป เช่น เรื่องบุคคลสองสัญชาติ การข้ามแดน เนื่องจากคนเหล่านี้ปลอมปนอยู่ในกลุ่มประชาชนทั่วไป เข้ามาหาก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการบริหารเชิงรุกไป แต่ต้องระวังการใช้อาวุธต่างๆ และการบังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากเกินไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการใช้กำลังของชรบ. ยังมีความจำเป็นต่อไป ถ้าไม่มีจะทำมาทำไม ซึ่งแต่ก่อนนี้ กำลังตำรวจในพื้นที่ และอาสาสมัครรักษาดินแดง (อส.) มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องจัดทหารข้างนอกมาช่วย เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอาทหารกลับ ส่วนตำรวจและทหารในพื้นที่ก็ทำงานปกติไป แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ ก็จะนำกองกำลังทหารเข้าไปเติม ทุกประเทศก็ทำแบบนี้ และระหว่างนี้เราจะต้องเสริมสร้างกำลังในท้องถิ่นให้มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะรู้จักพื้นที่และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แต่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น เพราะทางยุทธวิธียังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฝึกทบทวนมาโดยตลอด

“ผมถามเขาว่าจุดที่เกิด ทำไมไปตั้งฐานปฏิบัติการตรงนั้น เขาบอกมีความจำเป็น เพราะมีหมู่บ้านอยู่กลุ่มหนึ่ง และเขาต้องการไปดูแลประชาชนในหมู่บ้านดังกล่าว เพราะพื้นที่จำกัด เขาจึงไปตั้งกลางสวนยาง ส่วนด้านนอกทัศนวิสัยก็จำกัด มันจึงเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งผมได้เตือนไปแล้วว่า ต้องหาวิธีการใหม่และปรับในเชิงกลยุทธ์ ให้มีชุดลาดตระเวนต่างๆ ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงการป้องกันชายแดน และการลักลอบเข้าออกประเทศ ส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มการกวดขัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

related