svasdssvasds

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

โดนกระแสข่าวลือโจมตีทุกเรื่องไม่ต่างจาก "ตำบลกระสุนตก" สำหรับ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นับตั้งแต่มีข่าวแต่งตัวเตรียมผงาดเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่

ข่าวล่ามาแรงสุดคือแพคเกจพ่วง เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" ซึ่งหมายถึงว่าถ้าพรรคพลังประชารัฐดัน พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคจริง ก็จะได้ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นของแถม เพราะ "บิ๊กป้อม" จะกรุยทางให้ "บิ๊กโจ๊ก" กลับมาสวมเครื่องแบบสีกากี และเล่นบท "ผบ.ตร.น้อย" ที่ใหญ่กว่า ผบ.ตร.ตัวจริงเหมือนเดิม

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

คนปล่อยข่าวลือชิ้นนี้ต้องบอกว่าไม่ได้มีตรรกะเหตุผลใดๆ รองรับ เพราะการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ทำให้มีอำนาจวาสนามากขึ้นในทางการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นถ้อยคำที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอกย้ำอยู่บ่อยๆ ว่า เรื่องของพรรคก็คือเรื่องของพรรค ส่วนรัฐบาลเป็นเรื่องของตน (นายกฯ)

จริงๆ แล้วเรื่องของ "บิ๊กโจ๊ก" ต้องถือว่าจบ และปิดประตูตายไปนานแล้ว นับตั้งแต่นายกฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2563 สั่งห้าม "บิ๊กโจ๊ก" ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และคาดโทษเอาไว้ด้วย สะท้อนว่าข่าวการกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทบไม่มีความเป็นไปได้ และไม่มีทางที่ พล.อ.ประวิตร จะรับหน้าเสื่อไปทำอะไร เพราะเรื่องนี้เกินความรับผิดชอบ พล.อ.ประวิตร ไปมากทีเดียว

อย่าลืมว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเหมือนในรัฐบาล คสช. แต่เป็นนายกฯ ที่กำกับดูแลเอง แล้วนายกฯจะกลับคำสั่งของตนได้อย่างไร เพราะในคำสั่งใช้ถ้อยคำรุนแรงถึงขนาด "ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง - หลอกลวงผู้บังคับบัญชา"

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

หากย้อนไทม์ไลน์แบบรวบรัด จะพบว่า "บิ๊กโจ๊ก" โดนเด้งจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2562 โดยคำสั่งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ไปนั่งตบยุงที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ยุติการทำหน้าที่รองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งถือเป็นหน่วยเฉพาะกิจที่สร้างผลงานให้ "บิ๊กโจ๊ก" สามารถแถลงข่าวจับกุมอาชญากรคดีต่างๆ ได้รายวัน

ต่อมาวันที่ 9 เม.ย. นายกรัฐมนตรียังมีคำสั่งให้โอนย้าย "บิ๊กโจ๊ก" ไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ  ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดง่ายๆ คือย้ายขาดจากการเป็นตำรวจ สวมเครื่องแบบตำรวจไม่ได้อีกแล้วนั่นเอง

สำทับด้วยมติคณะรัฐมนตรีที่รับทราบคำสั่งโอน "บิ๊กโจ๊ก" ไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ฉะนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงสถานะ ต้องออกมติคณะรัฐมนตรีใหม่

จากนั้น "บิ๊กโจ๊ก" ก็เงียบหายไป ท่ามกลางข่าวลือมากมาย โดยเฉพาะสาเหตุที่โดนเด้งว่าอาจเกี่ยวพันกับการแต่งตั้งโยกย้ายที่มีปัญหาเกินกว่าใครจะช่วยเหลือได้ ทำให้ "บิ๊กโจ๊ก" ถึงขั้นอยู่ในประเทศไทยไม่ได้กันเลยทีเดียว

แต่แล้ว "บิ๊กโจ๊ก" ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ตามภาพข่าวเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ระหว่างไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ จ.นครศรีธรรมราช นัยว่าเพื่อไปบนบานศาลกล่าวให้ได้กลับมาเป็นตำรวจอีกครั้ง

ทว่าฝันของ "บิ๊กโจ๊ก" ก็ไม่เป็นจริง เพราะมีการปูดคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุ ก.ตร. เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ ปรากฏว่ามีชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" รวมอยู่ด้วย จนเกิดกระแสต้านและตั้งคำถามมากมาย จนสุดท้ายต้องถอดชื่อออกไป

นี่จึงถือเป็นการดับฝันครั้งที่ 1

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

จากนั้น "บิ๊กโจ๊ก" ก็หายเงียบไปอีกครั้ง ใครๆ ก็นึกว่าถอดใจแล้ว แต่ที่ไหนได้เป็นการ "ซุ่มเงียบ" เพื่อเปิดปฏิบัติการอะไรบางอย่าง และเมื่อถึง วัน ว. เวลา น. คือ วันที่ 6 ม.ค. 63 ซึ่งยังอยู่ในช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่ "บิ๊กโจ๊ก" ก็เปิดตัวอีกครั้งด้วยเสียงปืน เนื่องจากรถของเขาถูกคนร้ายรัวกระสุนใส่ 7 นัดซ้อน ขณะไปจอดเข้าร้านนวดสปาย่านสีลม เคราะห์ดีที่ตัว "บิ๊กโจ๊ก" ไม่ได้อยู่ในรถ ทำให้ไม่มีกระสุนระคายผิว

เกิดกระแสถกเถียงกันว่า "บิ๊กโจ๊ก" จัดฉากยิงรถตัวเองหรือไม่ แต่กระแสนี้ก็ถูกกลบด้วยข้อมูลใหม่ของ "บิ๊กโจ๊ก" ว่าตนเองถูกเล่นงานเพราะพยายามเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตัวเขาเองเคยเป็นผู้บัญชาการอยู่ และน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโดนเด้ง

เป้าหมายของ "บิ๊กโจ๊ก" ไม่ใช่ใครอื่น แต่มุ่งขย่ม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และมีการปล่อยข้อมูลถล่มเป็นระลอกอีกหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นความไม่โปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการใหญ่ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถมยังมีการเปิดคลิปเสียงสร้างกระแสอีกหลายคลิปด้วย

ต้องบอกว่าวงการสีกากีในขณะนั้น "เละตุ้มเป๊" กระทั่งสุดท้ายผู้ที่ออกมาหยุดวิกฤติทั้งหมดได้ชะงัด ก็คือ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่อง ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ เนื้อหาในคำสั่งพุ่งเป้าไปที่ "บิ๊กโจ๊ก" โดยตรง เพราะเป็นการสั่งห้ามประพฤติชั่วร้ายแรง

ในคำสั่งยังมีการยกตัวอย่างพฤติกรรมประพฤติชั่วในแบบที่ว่าไม่รู้หลอกด่าไปในตัวด้วยหรือไม่ เช่น ต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา, ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน, ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น นอกจากนั้นยังต้องอุทิศเวลาให้ราชการ และรักษาความลับของทางราชการด้วย พร้อมคาดโทษว่าถ้าทำผิด จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยขั้นร้ายแรง

นี่คือการดับฝันครั้งที่ 2 ของ "บิ๊กโจ๊ก" ในการหวนคืนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนับจากนั้น "บิ๊กโจ๊ก" ก็เงียบหายไปอีกครั้ง มีข่าวว่าไปปฏิบัติธรรมที่อินเดียอยู่ระยะหนึ่งช่วงก่อนมีโควิด-19

สยบข่าว "แพคเกจพ่วง" เลือก "บิ๊กป้อม" ได้ "บิ๊กโจ๊ก" แค่เฟกนิวส์

คำถามก็คือ เมื่อ "บิ๊กโจ๊ก" ถูกมัดตราสังแน่นหนาแบบนี้ แล้วจู่ๆ "บิ๊กป้อม" จะมีดำริไปช่วย "บิ๊กโจ๊ก" กลับมาเพื่ออะไร และเมื่อสอบถามไปยังแหล่งข่าวคนใกล้ชิดของ "บิ๊กป้อม" ก็ได้รับการยืนยันหนักแน่นว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ "บิ๊กโจ๊ก" มานานแล้ว

งานนี้จึงถือเป็นการดับฝัน "บิ๊กโจ๊ก" เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกด่าฟรี ในสิ่งที่ตนเองไม่เคยคิดจะทำ!

ที่มา : คม ชัด ลึก

related