มองเกมอย่างสุขุม : ถอดรหัสการเมือง หลังบิ๊กป้อมยอมเป็นหัวหน้าพรรค ชี้ชะตารัฐบาล

พรรคพลังประชารัฐ กำลังถูกโฟกัสเป็นพิเศษ หลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับเทียบเชิญเป็นหัวหน้าพรรค

โดย รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสปริงนิวส์ วิเคราะห์ให้เห็นภาพเป็นลำดับ ถอดรหัสให้เห็นกันจะจะ ว่าการตัดสินใจรับตำแหน่งในครั้งนี้ส่งสัญญาณและจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร ?

ซึ่ง รศ.สุขุม เริ่มต้นด้วยการชี้ชัดว่า การรับเทียบเชิญเป็นหัวหน้าพรรคของบิ๊กป้อม เพราะความจำเป็น

“ความจำเป็นนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากแต่ละกลุ่มในพรรคเนี่ย ไม่ยอมกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีคนที่เป็นหลัก

“และที่ต้องเป็นบิ๊กป้อม น่าจะเป็นเพราะแต่ละกลุ่มคิดว่า ความต้องการของกลุ่มถ้าเสนอผ่านไปทางบิ๊กป้อม จะไปถึงบิ๊กตู่

“เมื่อก่อนนี้ตอนที่คุณอุตตม เป็นหัวหน้าพรรค คนในพรรคได้แต่ตะโกนทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทางหน้าสื่อ แต่ไม่เคยไปถึงท่านนายกฯ

“เพราะท่านนายกฯ ไม่ได้ใกล้ชิดกับกลุ่มต่างๆ หัวหน้าพรรคคนเก่า (อุตตม) ก็ไม่สามารถเอาความต้องการของกลุ่มไปถึงนายกฯ ได้

“ทีนี้คนที่ร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี ที่ร่วมเป็นรัฐบาลก็คิดว่า นอกจากบิ๊กป้อมแล้ว คงไม่มีใครที่นายกฯ เกรงใจมากเท่า เพราะฉะนั้น กลุ่มพวกนี้จึงคิดว่า ต้องขอให้บิ๊กป้อมเป็นหัวหน้าพรรค"

ซึ่งสิ่งที่สร้างบารมีให้บิ๊กป้อม รศ.สุขุม มองว่า คือคุณสมบัติของการเป็นนักประสาน โดยได้ยกตัวอย่างช่วงพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

“ผมไม่รู้นะว่า (บารมีบิ๊กป้อม) สูงมากแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่า สูงมากในแง่ของการประสานงานกับพรรคร่วมฯ

“พูดง่ายๆ ไปกำหนดมาก่อนเลย ชาติพัฒนา อยู่กันนะ ภูมิใจไทยอยู่กันนะ ประชาธิปัตย์อยู่กันนะ สังเกตไหม พรรคชาติพัฒนาได้ ส.ส. 3 คน แต่ได้เป็นรัฐมนตรี เพราะตกลงกันก่อน

“ตอนที่คุณสมศักดิ์ กับคุณสุริยะ ไปดันคุณอุตตมให้เป็นตัวหลัก เลือกพรรคอื่นมาผสม ไม่มีใครคุยด้วย เพราะเขาคุยกันหมดแล้ว ฉะนั้นจะเอากระทรวงเกษตร กับกระทรวงพลังงาน จึงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบิ๊กป้อม ประสานได้ทุกทิศ”

ก่อนหน้านี้ กลุ่มของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีตำแหน่งสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ และคณะรัฐมนตรี อาทิ อุตตม สาวนายน ได้เป็นหัวหน้าพรรค หรือ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เป็นเลขาธิการพรรค แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว

ส่วนกลุ่มที่มีบทบาทสูงในการเชิญบิ๊กป้อม เป็นหัวหน้าพรรค ก็คือกลุ่มสามมิตร ที่มีแกนนำคือ สมศักดิ์ เทพสุทิน กับ สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ

และแน่นอนแล้วว่า อนุชา นาคาศัย หนึ่งในสมาชิกกลุ่มสามมิตร จะเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ ทำให้บทบาทของกลุ่มสามมิตรโดดเด่นขึ้น ในขณะที่กลุ่มของสมคิด มีแนวโน้มที่บทบาทจะลดลงเป็นอย่างมาก

ซึ่งอันที่จริงแล้ว กลุ่มสามมิตร มีจุดเริ่มต้นมาจาก 3 ส. ได้แก่ สมศักดิ์ เทพสุทิน , สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก่อนกลายเป็นอดีตคนเคยรัก โดยอาจารย์สุขุม ได้เล่าความเป็นมา ดังนี้

“คุณสมคิดนี่อยู่กับนายกฯ มา คุณสมคิดเป็นหลักของท่านนายกฯ มาตั้งแต่หม่อมอุ๋ยออกไป กลุ่มสามมิตรเมื่อก่อน เขาหมายถึงสมคิดด้วย

“เพราะทั้งสมศักดิ์และสุริยะเข้าใจว่า สมคิดเป็นช่องทางที่จะเข้าถึงนายกฯ จึงพยายามผ่านทางสมคิด แต่สมคิดทำให้ไม่ได้

“ซึ่งสองคนนี้ชัดเจนมาก ประกาศตั้งแต่ต้น สุริยะอยากอยู่กระทรวงพลังงาน สมศักดิ์อยากอยู่กระทรวงเกษตร สมคิดทำให้ไม่ได้ พวกนี้ก็เลยมาจับกลุ่มใหม่ ประกาศเหลือสองมิตร”

แต่ช่วงหลังกลุ่มของสมคิด เงียบและนิ่ง นิ่งจนน่าสงสัยว่า สมคิด กำลังคิดอะไรอยู่ ?

“ผมว่าเขาวัดใจกับนายกฯ ว่านายกฯ จะเหลือที่ให้หรือเปล่า และเชื่อมั่นว่า นายกฯ ไม่กล้าหักหาญ” รศ.สุขุมกล่าว

จากปฏิบัติการ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ลาออก 18 คน เกินกึ่งหนึ่ง เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่ แล้วส่งเทียบเชิญ พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคนั้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นนี้ จะส่งผลให้กลุ่มของสมคิด ถึงขั้นยกพวกออกจากพรรคหรือไม่ ?

รศ.สุขุม กล่าวว่า “ไม่มีวันถึงขั้นนั้น เพราะว่าคนเหล่านี้ต้องการเป็นรัฐบาล นี่คือคาถาที่ทำให้พวกนักการเมืองเหล่านี้ไม่แตกตัวออกไป”

ส่วนช็อตต่อไปที่ต้องจับตา ก็คือการปรับ ครม. โดย รศ. สุขุม คาดว่าใกล้ๆ นี้ หรืออาจจะเร็วกว่าที่คิด

“คือจริงๆ แล้วเนี่ย เรื่องการปรับ ครม. มันควรจะทำมาก่อน แต่นี่มันช้ากระทั่งผ่านโควิด ตอนนี้คนจับตาดูว่า การปรับ ครม. ท่านนายกฯ จะยืนอยู่ที่จุดไหน

“ถ้าพูดง่ายๆ ตอนที่อภิปรายเสร็จใหม่ๆ รัฐมนตรีบางคนอาจจะถูกออกนะ เพราะแก้คำอภิปรายไม่ได้ แต่พอมันผ่านเวลามาเนี่ย มันมีระยะตั้งหลัก

“อย่างคุณธรรมนัส เคยถูกมองว่า เป็นคนที่น่าลำบากหน่อย ที่จะอยู่ต่อ แต่พอ (คนในกลุ่ม) ชนะเลือกตั้งซ่อมที่ลำปาง เพิ่มเสียงให้รัฐบาลได้เนี่ย ก็ได้ชื่อว่า เป็นขุนพลมือซ้ายมือขวาเลยนะ”

และจากที่สื่อหลายสำนักวิเคราะห์ว่า ปรับ ครม.คราวหน้าบิ๊กป้อม อาจนั่งควบมหาดไทย แต่ รศ.สุขุม กลับวิเคราะห์ว่า “คงไม่ได้หรอก เพราะอนุพงษ์เขาไม่มีที่ติตรงไหน คนรู้สึกว่า อนุพงษ์นิ่ง แต่สามารถดูแลมือไม้ของมหาดไทยให้อยู่ข้างรัฐบาลได้”

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า อาจมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ภายในปีนี้ ร.ศ.สุขุม กล่าวว่า ถ้ายุบ ก็กล้าหาญมาก เล่นเกมเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

“และวันนี้เขาอาจรู้สึกว่า อยู่ไปๆ มันแข็งขึ้น วันนี้ไม่ใช่ปริ่มน้ำแล้ว แต่น้ำท่วมตอเลยนะ”

สุดท้ายนี้ รศ.สุขุม ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า เรากำหนดนักการเมืองไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกนักการเมืองได้

“นักการเมืองจะเป็นอย่างไร เราไปกำหนด บังคับเขาไม่ได้ แต่เรานี่แหละ เป็นคนเลือกนักการเมือง

“เพราะฉะนั้นเราต้องติดตามบทบาทของนักการเมือง ท่าทีของนักการเมือง อย่าเชื่อสิ่งที่เขาบอก แต่จงดูสิ่งที่เขาทำ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง เราก็ตัดสินใจใหม่ได้”