"ปิยบุตร" ยืนกรานถอด 250 ส.ว. คืนสภาวะปกติ

ล่าสุดวันนี้ที่รัฐสภา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โดยในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 สภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวในที่ประชุม กมธ. ถึงกรณีการพิจารณาบทเฉพาะกาล พร้อมกันนี้ได้ระบุว่าภารกิจของบทเฉพาะกาลดังกล่าวมีไว้เพื่อ

งดเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตรามิให้นำมาใช้ในบางช่วงบางเวลา

ให้สถาบันการเมืองหรือองค์กรที่ดำรงอยู่ก่อนนั้นดำรงอยู่ต่อไป จนกว่าจะมีชุดใหม่เข้ามาแทน

ให้บรรดาสถาบันการมือง องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ดำรงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นต้น

ทั้งนี้บทเฉพาะกาลดังกล่าวต้องมีลักษณะชั่วคราว ใช้บางช่วง บางเวลา ในการเปลี่ยนผ่านจากรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่ง สู่ฉบับหนึ่ง จากองค์กรหนึ่ง สู่องค์กรหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมาดูบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ตั้งแต่ มาตรา 262-279 รวมแล้ว 18 มาตรา พบว่ามีที่เป็นบทเฉพาะกาลจริงๆ ตามภารกิจ 3 ข้อนั้นเพียงมาตรา 262-268 และมาตรา 273 -278 ที่กำหนดให้องค์กรใดอยู่ต่อไปก่อนจนกว่ามีชุดใหม่เข้าแทน กำหนดให้องค์กรต่างๆ ต้องปฏิบัติเรื่องต่างๆ เป็นระยะเวลาเท่าใด และในปัจจุบันนี้ บทเฉพาะกาลเหล่านี้ได้สิ้นผลไปโดยตัวมันเองแล้ว เพราะมีสภา คณะรัฐมนตรีใหม่เข้าทำหน้าที่แล้ว มีการปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเรียบร้อยแล้ว

แต่อีกสองกลุ่ม มาตรา 269-272 ที่ว่าด้วยวุฒิสภา 250 คน และมาตรา 279 ที่รับรองประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาตามภารกิจแล้วไม่ใช่บทเฉพาะกาล เพียงแต่เอามาใส่ไว้ในหมวดบทเฉพาะกาลเท่านั้นเอง โดยในกลุ่มแรกคือมาตรา 269-272 เรื่องวุฒิสภาที่มานั้นชัดเจนว่าสัมพันธ์กับ คสช. อีกทั้งยังมีอำนาจหน้าที่เป็นพิเศษ เช่น ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และประชุมร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรณีที่เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ซึ่งก็ชัดว่าสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คนได้เข้ามาทำภารกิจสืบทอดอำนาจ คือเลือกนายกรัฐมนตรี และปีนี้ก็เห็นหลายครั้งที่มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพราะเป็นกฎหมายปฏิรูปประเทศ อำนาจแบบนี้ทำให้ ส.ว. ขึ้นมาขี่คอ ส.ส. ทั้งๆ ที่ตัว ส.ว. นั้นไม่ได้มีที่มาจากประชาชน

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ใช่บทเฉพาะกาลคือ มาตรา 279 ที่เป็นการรับรองคำสั่ง คสช. และการกระทำเกี่ยวเนื่องให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการชี้วัดเลยว่าการกระทำทั้งหมดทั้งใน อดีต จนถึงอนาคต เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมทั้งหมด ซึ่งเป็นนัยสำคัญอย่างยิ่งว่า คสช. มีอำนาจขนาดนี้เลยหรือ แล้วจะปล่อยให้บทบัญญัติแบบนี้อยู่ต่อไปได้อย่างไร

“บทบัญญัติแบบนี้ยังทำลายหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ เพราะที่บอกว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดนั้นไม่นำมาใช้กับประกาศคำสั่ง คสช.​ทั้งหมด คือทุกสิ่งทุกอย่างมีโอกาสขัดรัฐธรรมนูญได้หมด ยกเว้นประกาศคำสั่ง คสช. การใช้อำนาจ คสช. ไม่มีวันขัดรัฐธรรมูญได้เลย เรื่องนี้สำคัญมาก ทำให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญเสียหาย และอีกเรื่องที่เสียหายคือองค์กรตุลาการต่างๆ ผมเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญก็ดี ศาลปกครองก็ดี ศาลยุติธรรมก็ดี หลายครั้งอยากตรวจสอบว่าประกาศ คสช. เหล่านี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ก็ทำไม่ได้ ติดล็อกมาตรา 279 ทำให้อำนาจตุลาการหายไปเยอะมาก เวลานี้ประชาชนอยากโต้แย้ง ศาลอยากตรวจสอบก็ทำไม่ได้เพราะติดล็อกนี้” นายปิยบุตร กล่าว

ซึ่งถ้าดูจาก 18 มาตราในส่วนของบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญนี้ ส่วนที่เป็นเป็นบทเฉพาะกาลแท้ๆ จะหายไปเอง เช่น วันนี้ก็ไม่มี คสช.​ไม่มี สนช.​อยู่แล้ว หรือการกำหนดการกระทำต่างๆ เพียงระยะเวลาหนึ่งก็ทำสำเร็จแล้ว ทว่าสองกลุ่มหลังไม่ใช่บทเฉพาะกาลตามภารกิจ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าไปจัดการ นอกจากการทำให้ถูกต้องตามหลักนิติศาสตร์ ยังสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งหากสถาบันการเมืองมีการตอบสนองกรณีดังกล่าวที่เป็นรูปธรรมก็จะบรรเทาอุณหภูมิทางการเมืองลงได้ นายปิยบุตร กล่าวเสริม

นายปิยบุตร ยังกล่าวอีกว่า “ข้อเสนอที่ผมพูดออกไปถือว่าน้อยมาก ไม่กระทบกระเทือนกับใครเลย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีก็ยังคงอยู่ ส.ส. องค์กรอิสระต่างๆ ก็ยังอยุ่ องค์กรตุลาการก็ยังอยู่ และท่านก็ได้กลับมาทำหน้าที่ตรวสอบอย่างเต็มที่ตามปกติได้อีกด้วย พี่น้องประชาชนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร มีแต่คนกลุ่มเดียวที่จะกระทบนั่นคือ 250 ส.ว. ที่จะต้องหลุดพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจากที่ผมได้เคยเจอหลายท่านก็เห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ท่านมีโอกาสไปเป็น ส.ว. ในระบบปกติตามการสรรหากลุ่มวิชาชีพได้เลย นี่เป็นข้อเสนอที่ Win-Win Situation คือชนะด้วยกันทุกฝ่าย ไม่มีใครเสียหาย ทำให้หลักการที่ถูกต้องกลับมาด้วย และอุณหภูมิที่ร้อนแรงนอกสภาลดลงด้วย”