svasdssvasds

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

 

วันที่ 28 ก.ค.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า"การศึกษานั้น นอกจากช่วยพัฒนาความคิด และยกระดับจิตใจ ให้กับ “ปัจเจกชน” ได้แล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในหน่วยระดับที่เล็กที่สุด ก็คือ “ครอบครัว”  ซึ่ง “ศาสตร์พระราชา” มากมายที่พระราชทานไว้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับครัวเรือนของไทย  เช่น 

(1) การรู้จักพอเพียง, การจัดทำบัญชีครัวเรือน และการประหยัดอดออม เพื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท และมีชีวิตในวันข้างหน้าที่มั่นคง และ (2) “บวร” บ้าน – วัด – โรงเรียน เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายพื้นฐานทางสังคมไทย เป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้ คู่คุณธรรม” 

หากจะมองในภาพที่ใหญ่ขึ้นมานะครับ เป็นชุมชน ท้องถิ่น ไปจนถึงระดับ ประเทศแล้ว “ปัญหาปากท้อง” ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ที่รัฐบาลนี้ ไม่เพียงต้องบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในบรรยากาศแห่งความปรองดองของคนในชาติ โดยปราศจากความขัดแย้งแล้ว  ยังต้องวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งมีการปฏิรูปในทุกมิติ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย 

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

ทั้งนี้ “โจทย์” ที่สำคัญคือ การเอาชนะความยากจน และการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมให้ได้ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานราก ได้แก่ การให้การศึกษากับทุกคน ทุกกลุ่มวัย ทุกสาขาอาชีพ,  การยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกครัวเรือน ให้มีที่อยู่อาศัย ปลอดหนี้ รักการออม และมีหลักประกันสุขภาพ อย่างทั่วถึงเป็นต้น 

ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดำรัสกับคณะรัฐมนตรี ถึงการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประเทศและประชาชน สรุปใจความสำคัญ ได้ว่า “...การปฏิบัติงานนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติงานใดย่อมมีปัญหา ย่อมมีอุปสรรค ซึ่งปัญหาและอุปสรรคนั้นคือบททดสอบ มีอะไรก็ปรึกษากัน หาข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความรอบคอบให้สมกับสถานการณ์และเหตุผล 

และตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปฏิบัติ อีกทั้งได้พระราชทานพระราชดำริ และพระราชทานแนวทางไว้ ก็ขอฝากให้ได้ศึกษาพระราชดำริ ศึกษาวิเคราะห์พระราชปณิธานและศึกษาพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงปฏิบัติมา...” ซึ่งผมและคณะรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการทุกคน ได้น้อมนำใส่เกล้าใส่กระหม่อม ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างการความผาสุก แก่พี่น้องปวงชนชาวไทยเสมอมา 

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

อาทิ ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยการศึกษาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างรอบด้าน  ยกตัวอย่าง “ยางพารา” พบว่าเราคงต้องลดปริมาณการผลิต เพิ่มการแปรรูปใช้งานให้มากยิ่งขึ้นภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด  ซึ่งมาตรการนี้ ประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเป็นประเทศผู้ผลิตเช่นเดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางตกต่ำ เพราะประเทศหนึ่ง มาเลเซีย นะครับ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก 

เขาก็คาดการณ์ไปอนาคตแล้วว่า ความต้องในการใช้ยางพาราจะถึง “ทางตัน”เพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาก็ตัดสินใจโค่นยางพาราลง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่  7 แสนตันเท่านั้น และเขาก็เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศ อยู่ที่ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตยางออกมา “พอดี” กับที่ใช้ภายในประเทศ 

อีกประเทศหนึ่งนะครับ อินโดนีเซีย เขาปลูกยางพารามาก และใช้ยางในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรานะครับ เพราะยางพาราของเขา เป็นยางที่อยู่ในป่า เป็นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขาย ตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราจะมีการขึ้น-ลง ก็ไม่เป็นปัญหา สำหรับเพื่อนบ้านเรานะครับ ทั้ง 2 ประเทศผู้ผลิตยางพารา เนื่องจากผลิตให้ “พอดี” กับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่านะครับ     

นอกจากนี้ เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545  มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้นๆ ทุกปี แต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทำอย่างไร ราคาก็ต้องตกแน่นอนอยู่แล้วนะครับ 

ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยาง ของเรานั้นจะปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางอีกด้วยจะทำอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่มีเพียง แต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง  ถ้าวันนี้ เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบ “เอาตัวรอดไปวันๆ” หรือ “เลี้ยงไข้” เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่กลายเป็น “สินค้าการเมือง” ไปแล้ว และเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น 

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันไทยผลิตข้าว 30 ล้านตัน บริโภคภายใน ประเทศเพียง 10 ล้านตัน ส่งออก 20 ล้านตัน ซึ่งส่วนเกินของเรานี้ จะถูกกำหนดราคาโดยตลาดโลก ทั้งนี้ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณ ลงไปอุดหนุน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรได้รู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้อยากเลิกปลูกยางพารา หรือปลูกให้น้อยลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกินความต้องการ เช่น การปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าบ้าง ไม่เหมาะกับการปลูกยางบ้าง แต่เหมาะกับการทำอย่างอื่น 

ผมคิดว่ามันส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือน “ใส่น้ำมันเข้าไปในกองไฟ” เหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่ผมยกตัวอย่างไว้นะครับ หรือถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคา – พยุงราคา มันก็แค่ “ชะลอปัญหา” เท่านั้น  ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาล ก็คือ  

(1) ปรับสมดุลของการผลิตกับความต้องการใช้และ (2) เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น  ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก เพื่อลดการผลิตและไม่ละเลยการทำผิดกฎหมาย  อีกทั้งเพิ่มปริมาตรการใช้ ในประเทศ หรือตลาดในประเทศนะครับ  อาทิ “ยางพารา” 

ซึ่งรัฐบาลให้ทุกกระทรวง หามาตรการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยล่าสุด สามารถสรุปความต้องการน้ำยางข้น 16,000 กว่าตัน และยางแห้ง 4,500 กว่าตันนะครับ คิดเป็นงบประมาณ กว่า 17,000 ล้านบาท  สำหรับทำแผ่นทางปูพื้นคอกปศุสัตว์ – พื้นอ่างเก็บน้ำ – สระเก็บน้ำในไร่นา, ลานกีฬา – สนามฟุตซอล– ลู่วิ่ง – สนามเด็กเล่น – ลานอเนกประสงค์ – บล็อกยางพาราเพื่อใช้ในการก่อสร้าง, ที่นอน – หมอนยางพารา, ยางรถยนต์ใช้ในราชการ, และพื้นผิวถนน เป็นต้น 

"ประยุทธ์" เเนะเกษตรกรน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" มาปรับใช้กับชีวิต 

วันนี้ ก็ได้ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตรของเราให้มากยิ่งขึ้นนะครับ ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI อีกด้วย อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหายังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะประเทศไทยเป็น “ประเทศเกษตรกรรม”  มีแรงงานภาคการเกษตร อาทิ ทำสวน – ไร่ – นา – ประมง – ปศุสัตว์ และผู้ประกอบการ หรือทำงานที่เกี่ยวข้อง เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรอีก รวมกัน “เกือบครึ่งประเทศ” หรือร้อยละ 40 ของประชากรไทย ราว 25 ล้านคน หรือ 6 ล้านครัวเรือน  

แต่เป็นภาคการผลิตที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของ GDP ทั้งๆ ที่แผ่นดินไทยมีความอุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” หากเราไม่ปลูกพืชในพื้นที่สูง – ไม่มีระบบชลประทาน ก็คงไม่มีปัญหาเรื่อง “ภัยแล้ง” แล้วหันมาเพาะปลูก หรือทำเกษตรที่มีคุณภาพ ลงทุนน้อยกว่า ได้ผลผลิตมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด แลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งกันและกันนะครับ   

ดังนั้นรัฐบาลนี้ต้องการแก้ปัญหาแบบ “องค์รวม” โดยปฏิรูปทั้งระบบ พร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องน้ำ – ที่ดิน – สินค้าเกษตร – อาชีพเสริม – และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่สิ่งที่เหมาะสมกว่า ด้วยความสมัครใจ นอกจากผู้ผลิต คือ เกษตรกรแล้ว ยังมีกลางทาง พ่อค้าคนกลาง – การแปรรูป แล้วก็ปลายทางในเรืองของการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็มีผลกระทบจากราคาตกต่ำของผลิตผลทางการเกษตรทั้งสิ้น เราต้องมองให้ครบวงจรนะครับ เพราะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน ทั้งในภาคการเกษตร และในธุรกิจห่วงโซ่เหล่านั้นนะครับอีกมากมายครับ" 

related