นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประเมิน สถานการณ์การเมือง ในสัปดาห์นี้ เชื่อจะเกิดเหตุการณ์ความชุลมุนทั้งในและนอกสภา ยัน ตนยังอยู่ในสถานะคัดท้ายคอยเตือนเหตุรุนแรง ชี้ ทุกฝ่ายจะร่วมกันทอดกฐินสามัคคี หากข้อเรียกร้องเหลือเพียงข้อเดียว คือไล่พลเอกประยุทธ์ ลาออก
วันนี้ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวีแห่งใหม่ ซอย นวลจันทร์ รามอินทรา 40 มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์เต็มรูปแบบ มีการร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานในสไตล์ที่เป็นกันเอง นอกจากนี้ยังมีการสื่อสารของประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ไปยังพี่น้องมวลชนเป็นปกติทุกสัปดาห์
โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ โดยระบุว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สถานการณ์จากวิวัฒนาการเข้มข้นกันตามลำดับ ขณะเดียวกันตนยังอยู่ในบทที่ต้องอยู่ติดตามสถานการณ์
อย่างที่ตนเคยบอกว่า ตนจะรบในสงครามที่ตนกำหนดเองได้ เพราะหากต้องรบในสงครามที่กำหนดเองไม่ได้ การรบนั้นจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ส่วนตัวเคารพในเสรีภาพของพี่น้องทุกประการ
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้มีช่วงระยะเวลาที่ผู้ชุมนุมขีดเส้นใต้ให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งนั้น ส่วนตัวมองว่า นี่เป็นคำถามที่รู้คำตอบมาตั้งแต่ต้น
ปรากฏการณ์การชุมนุมวันนี้ที่แยกราชประสงค์ ตนก็ยังเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นปกติ แต่วันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.) จะมี 2 สถานที่ ที่จะเป็นจุดในทางการเมือง โดยจุดเเรกตั้งแต่ช่วงเช้าคือ ที่ประชุมรัฐสภา / การเปิดสมัยประชุมวันที่ 26-27 ตุลาคมนี้ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอให้เปิดประชุม โดยมี 3 หัวข้อที่จะปรึกษาหารือเพื่อหาทางออก
ซึ่งจริงๆ มีหัวข้อที่จะแตกหักเพียงหัวข้อเดียว ดังนั้น สถานการณ์ covid-19 และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นเรื่องรองในการหารือ แต่ประเด็นหลักที่นายกรัฐมนตรีเสนอไปยังประธานรัฐสภานั้น คือเรื่องขบวนเสด็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา
ดังนั้นเนื้อหาการอภิปรายก็จะเกี่ยวกับเรื่องสถาบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแรงเหวี่ยงในสภา หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้เเถลงข้อหารือจบนั้น ฝ่ายค้านก็ต้องขึ้นมาอภิปรายหักล้าง หลังจากนั้น ส.ส.พรรครัฐบาล และ ส.ว. ก็เวียนกันอภิปรายนั้น
ตนเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายมากที่สุดในสภา เพราะอีกฝ่ายก็จะชี้อีกฝ่ายหนึ่งว่าล้มเจ้า ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็จะชี้อีกฝ่ายหนึ่งพวกโหนเจ้า และในพื้นที่หน้าสภาวันนี้เริ่มก็มีการใส่เสื้อเหลืองเข้าไปจับจองพื้นที่หน้าสภาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเกมในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ จะเกิดเรื่องค่อนข้างมาก
ขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่มีการนัดทางสื่อโซเชียล คือการนัดหมายที่แยกสามย่านในเวลา 17.00 น. เพื่อไปที่สถานทูตเยอรมนี และแน่นอนที่สุดในวงการก็จะพูดกันว่า หากเล่นหนัก ก็ต้องเดิมพันหนัก หากคิดจะได้หนักก็เตรียมจะต้องเสียหนักเช่นเดียวกัน นี่ในทางยุทธการไม่ว่าในแวดวงใด
ดังนั้นวันที่ 26 ตุลาคมนี้จึงเป็นรอยปริบางๆ อีกทั้งในทางการข่าวของตน พอจะได้ข่าวมาบ้างแล้ว และส่วนตัวเชื่อว่า จะเกิดเหตุชุลมุนตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม
อีกทั้งทุกคนทราบดีว่า การอภิปรายครั้งนี้จะมีเรื่องมากกว่าที่จะไม่มีเรื่อง ดังนั้นตนยังยืนยันว่า ขณะนี้นี้ตนยังอยู่ในจุดเรียกร้องเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะเกิดความสูญเสีย และได้พยายามออกมาปราม
ไม่ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่รามคำแหงตนก็เตือนกันแรงๆ ว่า การใส่เสื้อเหลืองนั้นจะต้องมีความระมัดระวัง ไม่ใช่ไปไล่ตีใครนี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า เป็นจุดเปราะบางตามลำดับ
และในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ สถานการณ์ก็จะยกระดับขึ้นตามลำดับ ส่วนวันที่ 28 ตุลาคม จะมีอยู่ 2 กรณี คือ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยปม ส.ส.ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ถือหุ้นสื่อเหมือนกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอีกกรณีที่มีการเลื่อนมาคือ กรณีที่เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร้องศาลรัฐธรรมนูญกรณีการพักบ้านหลวง หลังเกษียณอายุของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้จะมีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งก็มีการตั้งตั้งเต็นท์ต่อต้านการรับปริญญาตามที่ปรากฏข่าว และก็รณรงค์ไม่รับปริญญารวมถึงการเชิญชวนไปชู 3 นิ้วหน้าหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์
ดังนั้นถัดจากนี้ไปจะเห็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นทุกวัน และสงครามนี้ก็ยังไม่จบ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า จะมีความแตกต่างไปจากยุคการต่อสู้ครั้งก่อน ซึ่งตนก็พยายามที่จะติดตามสถานการณ์ว่ามันอยู่ในสถานการณ์ใด เพราะการชุมนุมที่ไม่มีแกนนำ แต่นำโดยเพจหรือโซเชียลมีเดีย ที่ไม่รู้ตัวตน นัดหมายให้ไปเจอกันที่จุดใดจุดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามตนฟังการนัดหมายของ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ก็อธิบายง่ายขึ้นเข้าใจมากขึ้นว่าเอาข้อเดียวเสียก่อน คือสถานการณ์เช่นนี้นั้นต้องไล่นายกรัฐมนตรีออกเสียก่อน แต่สถานการณ์ที่มีข้อเรียกร้องที่มีความหลากหลายนั้น จะทำให้สถานการณ์ยากลำบาก
นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ทุกฝ่ายวันนี้ที่เคยต่อสู้ทางการเมืองกันมา เห็นพ้องต้องกัน ที่เห็นควรให้พลเอกประยุทธ์ลาออก ส่วนข้อเรียกร้องอื่นจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ขณะเดียวกันเรื่องข้อเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฝ่ายต่างรู้ว่าหากพลเอกประยุทธ์ลาออก รัฐธรรมนูญก็สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจะทอดกฐินสามัคคี หากข้อเรียกร้องมีเพียงข้อเดียวคือ ไล่พลเอกประยุทธ์ ให้ลาออก