ประเทศไทยตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด 19 จำนวนมากกว่า 2,000 ราย พบกระจายมากกว่า 60 จังหวัดทั่วประเทศ และยังมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บำรุงราษฎร์ จึงมาเปิดเผยแผนปฏิบัติการในทุกมิติ พร้อมสู้สถานการณ์ COVID-19
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้สร้างมาตรฐานการดูแลรักษาและให้บริการในระดับสากล ซึ่งขณะนี้ บำรุงราษฎร์ ได้เตรียมแผนปฏิบัติการและรับมือในทุกมิติ หากมีการแพร่กระจายเชื้อโควิด 19 ในวงกว้างมากขึ้น
ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ Executive Consultant & Senior Associate Chief Medical Officer (Medical Quality & Informatics) ในฐานะผู้ขับเคลื่อนศูนย์บัญชาการ COVID-19 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า ในขณะนี้ บำรุงราษฎร์มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 หากมีการแพร่กระจายในวงกว้าง โดยโรงพยาบาลได้พิจารณาศักยภาพของโรงพยาบาลใน 4 ส่วนหลักๆ ที่มีความสำคัญอย่างมาก คือ
1) ศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย
2) ความสามารถในการตรวจคัดกรองและคัดแยกผู้ป่วย
3) ทรัพยากรที่จะนำมาสนับสนุนเพียงพอในระยะเวลาอีกนานเพียงใด
4) สมรรถนะของบุคลากรของโรงพยาบาล ซึ่งบำรุงราษฎร์มีศักยภาพ
มาตรการเข้มข้นครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก มีดังนี้
ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บำรุงราษฎร์ได้มีการวางแผนไว้อย่างรอบด้าน และมีการจัดเตรียมแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เป็น 3 แถว ซึ่งหากนักรบเสื้อกาวน์แถวหน้าของเราบอบช้ำ เราก็มีแถว 2 และแถว 3 พร้อมสลับกันออกมาปฏิบัติภารกิจแทน และเพื่อให้แพทย์ที่สูงอายุได้ลดความเสี่ยงจากการรับเชื้อ โรงพยาบาลจึงมีมติให้ท่านได้พักภารกิจในการดูแลผู้ป่วยในช่วงเวลานี้เป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เนื่องจากประสบการณ์ในประเทศอิตาลีพบว่าแพทย์สูงอายุเสียชีวิตจำนวนมาก และโรงพยาบาลไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
นอกจากนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังได้จัดเตรียมแยกพื้นที่เฉพาะ เรียกว่า “Detached Areas” ซึ่งเป็นพื้นที่แยกออกจากพื้นที่บริการทั่วไป ตามมาตรการควบคุมเชื้ออย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนหรือการสัมผัสในวงกว้าง กำหนดพื้นที่ชัดเจนสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อย อาการปานกลาง และอาการหนัก เพื่อให้การดูแลที่ปลอดภัยสูงสุดอย่างเหมาะสม รวมถึงได้ร่วมกับองค์กรแพทย์ของโรงพยาบาล ในการจัดเตรียมนักรบซึ่งเป็นแพทย์ของเราเพื่อความพร้อมการเผชิญกับโควิด 19 ที่จะเข้ามา โดยมีการระดมแพทย์ในสาขาต่างๆ รวมถึงแพทย์ในคลินิกโรคหวัด ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะเตรียมรับมือกับผู้ป่วยในระยะที่ 3 ที่ไม่พบต้นตอในการรับเชื้อ สัมผัสเชื้อ แต่มีอาการไข้ ไอ มีอาการเหมือนหวัด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกแยกออกจากการให้บริการแบบปกติ เพื่อมาตรวจหาผู้ป่วยที่เป็นโควิด 19 ต่อไป
ขณะที่บำรุงราษฎร์ยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่การนำร่องโดยการติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ Thermal Imaging Cameras มาช่วยคัดกรองผู้ที่มีอุณหภูมิสูงออกจากผู้ป่วยปกติเป็นแห่งแรกๆ ตั้งแต่เดือนมกราคม ในทุกทางเข้าอาคาร (point of entry)
รวมถึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการถอดรหัสทางพันธุกรรม แบบ Realtime PCR รวมถึงเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ Rapid test ในการตรวจหาภูมิของการติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็จะทราบผล โดยใช้เลือดเพียง 2-3 หยด ทันทีเมื่อผ่านการอนุมัติจากทางราชการ บำรุงราษฎร์ก็พร้อมให้บริการ ทำให้มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจวินิจฉัยหาเชื้อโควิด 19 เองได้
จากบทเรียนของอู่ฮั่น ที่พบสถิติผู้ป่วยวิกฤตอยู่ที่ร้อยละ 6.1 นั่นหมายความว่า การเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยมีความสำคัญมากเช่นกัน โรงพยาบาลจึงได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีแคปซูลความดันลบที่ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย และยังมีอุปกรณ์ช่วยเสริมต่าง ๆ รวมถึงชุดมนุษย์อวกาศ ที่แพทย์สวมใส่เรียกว่า Powered Air Purifying Respirator (PAPR) ตรงบริเวณหมวกจะมีเครื่องช่วยหายใจ ที่จะคอยปั๊มอากาศเข้ามาเหมือนไปเดินบนโลกพระจันทร์ รวมถึงการใช้หุ่นยนต์ Pulsed Xenon UV Robot ทำความสะอาดด้วยแสงยูวี เพื่อฆ่าเชื้อโรคบริเวณที่แสงสัมผัสอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทิ้งสารปรอทตกค้าง นับเป็นเทคโนโลยีที่ได้นำมาใช้เพื่อเสริมมาตรฐานความปลอดภัยในโรงพยาบาล
ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นับจากนี้ บำรุงราษฎร์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนายกระดับมาตรฐานทางการแพทย์ต่อไป และขอให้ผู้มาใช้บริการมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดของโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็น DNA วัฒนธรรมขององค์กรในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้หยุดแค่โรคโควิด 19 เนื่องด้วยจาก World Economic Forum ได้กล่าวไว้ว่าจะเป็น Global Risk ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยจะมีโรคอุบัติใหม่และโรคระบาดเข้ามาท้าทายวงการแพทย์ และบำรุงราษฎร์ได้ทำแผนเตรียมตั้งรับมาโดยตลอด ที่ผ่านมาโรงพยาบาลได้ผ่านประสบการณ์มาหลายช่วงเหตุการณ์ในการ outbreak โรคอันตรายถึงชีวิต โรงพยาบาลจึงให้ความสำคัญในการรับรองมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ DNV-MIR Managing Infection Risk นับเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียและนอกทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อให้ผู้รับบริการมีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการควบคุมโรคติดเชื้อ ในการรักษาพยาบาลตลอดทั้งกระบวนการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดกรอง การวินิจฉัย การดูแลรักษา ไปจนถึงการติดตามผลตามมาตรฐานระดับสากล และเพื่อเตรียมพร้อมต่อการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่เกิดมากขึ้นในช่วงระยะ 10 - 20 ปีนี้