ศาลครองตนในพระปรมาภิไธย ในหลวง ร.9

ครองตนภายใต้พระปรมาภิไธย นับเป็นพระราชดำรัสองค์สำคัญที่บรรดาผู้พิพากษาพึงระลึกในการปฏิบัติหน้าที่ตัดสินคดี เพราะหากทำอะไรที่มิดีมิชอบ พระเจ้าอยู่หัวก็จะเดือดร้อนไปด้วย

พระราชดำรัสในโอกาสที่ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาลเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ท้องพระโรงศาลาเริง วังไกลกังวล เมื่อวันพุธ ที่ 9 กรกฎาคม ปี 2546 เป็นสิ่งที่ให้ผู้พิพากษาเห็นว่า งานศาล งานตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของพระราชภารกิจที่จะต้องทำ และยังเป็นพระราชดำรัสองค์สำคัญที่ผู้พิพากษาทุกคนน้อมนำ เป็นคติประจำใจปฏิบัติสืบมา

พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ยังเป็นพระราชดำรัสสำคัญที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในการหาทางออกให้กับประเทศ

ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งความประทับใจในพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทของในหลวง รัชกาลที่ 9 รวมไปถึงพระราชดำรัสเมื่อครั้งที่ได้เข้าเฝ้าถวายผลการศึกษาหลังสำเร็จการศึกษา ยังความปลาบปลื้มใจให้กับศาสตราจารย์ จิรนิติ หะวานนท์ 1 ในผู้ที่ได้รับทุนอานันทมหิดล ที่เขาได้ตั้งใจเล่าเรียนเพื่อกลับมาสนองพระเดชพระคุณ

ศ.จิรนิติ หะวานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา กล่าวว่า “วันนั้นพระองค์ไม่ได้รับสั่งอะไรเป็นการเฉพาะเจาะจง พระองค์ตรัสว่า ขอให้ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ถ้าทำหน้าที่ของตนเองตรงนั้นอย่างดีที่สุด ก็เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองแล้ว”

นับแต่วันนั้นทุกวินาทีของศาสตราจารย์จิรนิติ คือการนำความรู้ความสามารถด้านกฎหมายทำงานสนองพระมหากรุณาธิคุณ ตามที่ได้รับพระบรมราโชวาท ด้วยการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนของพระราชา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีโอกาสได้สานต่อพระราชปณิธานในการพิจารณามอบทุนมูลนิธิอานันทมหิดลให้กับประชาชนคนไทย ที่แม้พระราชประสงค์จะไม่หวังประโยชน์จากผู้รับทุน หากแต่เพียงให้ทุนนั้นได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ไม่ว่าผู้รับจะอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ตาม

[embed]https://youtu.be/140nIoFVJjg[/embed]