ชาวเมียนมาร์ ยังเข้ามารับจ้างกรีดยางพาราในเขตทุ่งสวงนเลี้ยงสัตว์ อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง ทั้งที่มีคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดระนองให้ยุติเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ถูกตรวจยึด และอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสือสำคัญ
ทีมข่าวสปริงนิวส์ได้ลงพื้นที่ร่วมกับมณฑลทหารบกที่ 44 ปลัดอำเภอละอุ่น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ซึ่งเป็นแกนนำร้องเรียนในการทวงคืนทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ ซึ่งถูกประกาศเป็นที่สาธารณะมาตั้งแต่ปี 2469 แต่ก็มีการบุกรุก ปัจจุบันถูกตรวจยึด และอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่จากการเดินเท้าตรวจสอบยังพบมีการเข้าทำประโยชน์และเก็บเกี่ยวผลผลิต
ชาวเมียนมาร์กลุ่มนี้ ยังเข้ามารับจ้างกรีดยางพาราในเขตทุ่งสวงนเลี้ยงสัตว์ ทั้งที่มีคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดระนองให้ยุติเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ถูกตรวจยึด แม้พวกเขาจะมีเอกสารอย่างถูกต้อง และมีนายจ้างบ่งบอกชัดเจน แต่บุคคลที่เป็นนายจ้างไม่ใช่คนในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลบางพระใต้ อ.ละอุ่น จ.ระนอง
ซอ เมี๊ยะ ชาวเมียนมาร์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์ ว่า เขามารับจ้างกรีดยางในประเทศไทยมากว่า 10 ปีแล้ว แต่มารับจ้างกรีดยางในทุ่งสงวนฯ นาน 5 ปี และทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าสวนนี้ถูกตรวจยึด เนื่องจากนายจ้างยังให้มาเฝ้าสวนและกรีดยาง
ปลัดอำเภอละอุ่นจึงประสานไปยังสถานีตำรวจภูธรละอุ่นให้มานำตัวไปสอบสวน เนื่องจากพบเป็นการกระทำผิดซ้ำในพื้นที่ถูกตรวจยึดไว้
พื้นที่ทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ละอุ่น ตามประกาศปี 2469 เป็นที่สาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน ปัจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อให้กระบวนการดำเนินการยึดคืนจากผู้บุกรุกกลับมาเป็นที่สาธารณะประโยชน์ตามเดิม และสมบูรณ์ที่สุด
เป็นที่ชัดเจนว่าทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ถูกบุกรุกเข้าทำประโยชน์และเก็บอาสินเป็นของตน และถนนคอนกรีตที่สร้างเข้าไปยังสวนยางพาราและสวนปาล์มระยะทางกว่า 1,900 เมตร สร้างขึ้นโดยใช้งบประมาณของเทศบาลละอุ่น ชื่อซอยบางคงทอง –บางเสียด ในวงเล็บซอยพม่าข้าม
แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินพบว่าดำเนินการไม่ถูกต้อง จึงมีคำสั่งเรียกเงินคืนกว่า 3 ล้านบาท เนื่องจากชื่อซอยอยู่คนละพื้นที่ รวมทั้งผู้ควบคุมงานก่อสร้างและกรรมการตรวจการจ้างยังเป็นคนเดียวกันอีก ซึ่งในทางกฎหมายไม่สามารถทำได้