เกษตรกรมาเลเซียเกาะกระแสหันปลูกทุเรียนแทนปาล์มน้ำมัน
การบริโภคและราคาที่เพิ่มขึ้นของทุเรียนในตลาดจีน ทำให้ชาวมาเลเซียต่างหันมาปลูกทุเรียนกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า ทุเรียน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ จะเข้ามาแทนที่ อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ในประเทศ
รายงานของMay Bankระบุว่า ทุเรียนสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำมันปาล์ม และยังสร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เพาะปลูกปาล์มน้ำมันบางแห่งหันมาปลูกทุเรียนแทนในฤดูเพาะปลูกครั้งต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความขาดแคลนของน้ำมันปาล์ม รวมถึงต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างในอนาคต
รายงานยังระบุด้วยว่า เนื่องจากความต้องการของทุเรียนเพิ่มสูงขึ้น นี่เป็นโอกาสดีของมาเลเซียที่จะขยายส่วนแบ่งจตลาดทุเรียน เมื่อจีนอนุญาตให้นำเข้า เพราะรสชาติทุเรียนของมาเลเซียดีกว่าที่อื่น
ด้านข้อมูลสถิติของสินค้าโภคภัณฑ์ของสหประชาชาติในปี 2016 เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยปริมาณมากถึง 402,661 เมตริกตัน มูลค่า 495 ล้านเหรียญ ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังจีน
ในขณะที่มาเลเซียส่งออกทุเรียนเพียง17,754 เมตริกตันมูลค่า 17.9 ล้านเหรียญเท่านั้นในปี 2016 โดยกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ถูกส่งไปยังสิงคโปร์ ส่วนจีนมีสัดส่วนของผลผลิตทุเรียนเพียง 691 เมตริกตันหรือ 6.8 ล้านเหรียญเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้สัดส่วนการส่งออกทุเรียนของมาเลเซียจะน้อยกว่าไทย แต่ปัจจุบันมาเลเซียได้เริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ทำมาจากทุเรียนไปยังจีนบ้างแล้ว ขณะที่ทุเรียนสด ก็มีการส่งไปยังสิงคโปร์และฮ่องกงเช่นกัน
ทั้งนี้ แม้งานวิจัยบางชิ้น พบว่า มาเลเซียมีพันธุ์ทุเรียนมากกว่า 200 สายพันธุ์ ซึ่งมากกว่าประเทศไทยซึ่งมีพันธุ์เพียงไม่กี่พันธุ์เท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อุตสาหกรรมทุเรียนในมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น รวมถึงสวนทุเรียนในมาเลเซียยังไม่โตมากนักและขาดความรู้ทางเทคนิคในการเพาะปลูก ขณะที่จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักก็ต้องการทุเรียนคุณภาพสูง ไม่เหมือนกับการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันในเชิงพาณิชย์ ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับมาเลเซียได้ไม่น้อยไปกว่าพืช หรือ ผลไม้อื่นๆ
