เสียงตำหนิมากมายดังลั่นในสื่อสังคมออนไลน์ หลังจบงานวิ่งรายการใหญ่ แชริตี้ ชลบุรี มาราธอน 2018 ที่จ.ชลบุรี พบว่าจัดไม่ได้มาตรฐาน ขาดการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะเรื่องน้ำดื่ม และเส้นทางการวิ่ง
ทั้งนี้การปล่อยตัวนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขัน มีการจัดครบทุกระยะ นั่นคือ ตั้งแต่ 5 กม., 10.5 กม. 21 กม. และ 42.195 กม. มีการปล่อยตัววิ่งที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ขณะดำเนินการแข่งขันนักวิ่งจำนวนมาก โพสต์ข้อความว่าพบการจัดงานไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ที่ปล่อยให้น้ำดื่มหมด จนนักวิ่งไม่มีดื่ม บางช่วงไม่มีแก้วให้รินน้ำ เจ้าหน้าที่ใช้วิธีรินน้ำจากเหยือก หรือนักวิ่งเอามือมารองดื่ม บางจุดให้นักวิ่งใช้หลอดดูดน้ำ อีกทั้งเส้นทางวิ่งก็ไม่ปลอดภัย เพราะมีฝาท่อเปิดทิ้งไว้ เป็นเหตุให้นายภัครธรณ์เทียนไชยผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีต้องออกมาขอโทษ
ทั้งนี้ ข้อปฏิบัติที่ดีในการจัดกิจกรรมวิ่งประเภทถนน ที่กำหนดเป็นมาตรฐานสากล โดยสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (International Asscociation of Athletics Federtiion : IAAF) ในฐานะองค์กรดูแลและพัฒนามาตรฐานการวิ่ง ซึ่งทางสมาพันธุ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการจัดทำเป็นคู่มือปฏิบัติไว้
ระบุความสำคัญของการปฏิบัติที่ดีในการจัดกิจกรรรมวิ่งประเภทนี้ ไว้ 4 หมวดคือ 1. แนวคิดเบื้องต้น ซึ่งเป็นเป้าหมายขของการจัดกิจกรรม 2.การบริหารจัดการ 3.การวางแผนเส้นทางแข่งขันและองค์ประกอบในเส้นทาง 4.การแข่งขัน
สำหรับปัญหาการจัดวิ่งกิจกรรมแชริตี้ ชลบุรี มาราธอนนี้ พบความไม่พร้อมในการจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน เฉพาะแค่ปัญหา “จุดบริการน้ำ” มีรายละเอียดมากมายให้ต้องดำเนินการ
ความสำคัญของน้ำดื่มกับการวิ่งแข่งขันมาราธอน
โดยจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ
1. เป็นองค์ประกอบของเซลล์และช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีและการสันดาปสารอาหารต่าง ๆ
3. ช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และระบายของเสียออกจากเซลล์
4. ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย
5. เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบไหลเวียนเลือด
ทั้งนี้ นพ.วิรุฬห์ เหล่าภัทรเกษตร แพทย์ด้านกีฬาเวชศาสตร์ ระบุว่า การสูญเสียเหงื่อและองค์ประกอบของเหงื่อในนักกีฬา ขณะออกกำลังกายจะมีความร้อนเกิดขึ้นภายในร่างกายอย่างมากจากกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ ระหว่างที่ออกกำลังกายหนักปานกลาง (ร้อยละ 75 ของสมรรถภาพสูงสุด) จะมีความร้อนเกิดขึ้นประมาณ 1,000-1,500 กิโลแคลอรี่ ร้อยละ 80 ของความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะต้องระบายออกจากร่างกาย ในการระบายความร้อน 580 กิโลแคลอรี่ต้องอาศัยการระเหยของเหงื่อประมาณ 1 ลิตร ดังนั้น ในการออกกำลังกายดังกล่าว จะเสียเหงื่อถึง 1-2 ลิตรใน 1 ชั่วโมง
เกลือแร่ที่สูญเสียออกไปพร้อมกับเหงื่อส่วนใหญ่จะเป็นโซเดียม อยู่ในรูปของสารละลายที่มีความเข้มข้นประมาณหนึ่งในสามของโซเดียมในพลาสมา จากการศึกษาพบว่านักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การขับเหงื่อจะเกิดขึ้นเร็วและมีประสิทธิภาพดีขึ้น มีการสูญเสียโซเดียมไปกับเหงื่อน้อยกว่าคนปกติ การเสียเหงื่อในนักกีฬาส่วนใหญ่จึงเป็นการเสียน้ำมากกว่าโซเดียม นอกจากนี้ขณะออกกำลังกาย ไตยังเก็บกักโซเดียมไว้ได้มาก ร่างกายจึงไม่ขาดโซเดียม
ความจำเป็นในการให้น้ำ โซเดียมและกลูโคส ระหว่างออกกำลังกาย
“น้ำเปล่าที่สะอาดและเย็น” เป็นสิ่งทดแทนที่ดีที่สุดสำหรับการเสียเหงื่อในการออกกำลังกาย ด้วยเหตุผลดังนี้
1. การเสียเหงื่อส่วนใหญ่เป็นการเสียน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียโซเดียมไปน้อยมากระหว่างการออกกำลังกาย และไม่มีการสูญเสียโพแทสเซียม จึงไม่จำเป็นต้องทดแทนด้วยสารละลายเกลือแร่แต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีที่เสียเหงื่อมากจากการออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่ร้อนและอบอ้าว อาจให้โซเดียมทดแทนในความเข้มข้นที่ไม่เกินร้อยละ 0.2
2. น้ำเย็นจะเคลื่อนผ่านกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็กได้เร็ว จึงถูกดูดซึมได้เร็วกว่าน้ำอุ่น และยังช่วยลดอุณหภูมิร่างกายลงได้
3. การดื่มสารละลายกลูโคสที่มีความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 2.5 จะเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็กได้ช้า ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนาน ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มนานและดูดซึมช้า นอกจากนี้ สารละลายกลูโคสที่เข้มข้นมากจะมี osmolarity สูงจะดึงน้ำไว้ภายในลำไส้ ปิดกั้นการดูดซึมของน้ำให้ช้าลงอีก จึงดูเหมือนว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี สารละลายเกลือแร่หรือน้ำอัดลมที่มีขายในท้องตลาด มักมีความเข้มข้นของกลูโคสมากกว่าร้อยละ 2.5 (น้ำอัดลมมีน้ำตาลประมาณร้อยละ 8-10) จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในการดื่มเพื่อทดแทนการเสียเหงื่อ
ในกรณีที่ต้องการให้กลูโคสระหว่างออกกำลังกาย เช่น ระหว่างการวิ่งมาราธอน เตรียมได้โดยผสมผงกลูโคสประมาณ 5 ช้อนชา (25 กรัม) ลงในน้ำเย็ย 1 ลิตร ก็จะได้สารละลายกลูโคสที่มีความเข้มข้นร้อยละ 2.5 ร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ เป็นการประหยัดไกลโคเจนไว้ใช้ได้นานขึ้นอีก ถ้าใช้น้ำอัดลมจะต้องเจือจางลงเป็น 1:4 และไม่ควรใช้น้ำอัดลมที่มีแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด หรือถ้าจะใช้น้ำผลไม้สดควรเจือจางลงเหลือ 1:5 หรือ 1:6
สำหรับวิธีการให้น้ำในการออกกำลังกาย
ควรดื่มน้ำให้พอทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำซึ่งจะทำให้สมรรถภาพในการแข่งขันลดลง โดยมีวิธีการดังนี้
1. ก่อนออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที ควรดื่มน้ำเย็นที่สะอาดประมาณ 400-500 มิลลิลิตร ซึ่งกว่าน้ำจะผ่านจากกระเพาะลงสู่ลำไส้เล็กเพื่อถูกดูดซึมจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที และไม่ต้องเกรงว่าจะปวดปัสสาวะเพราะเมื่อเริ่มออกกำลังกายเลือดไหลเวียนไปยังไตจะลดลง ทำให้มีปัสสาวะออกน้อย ไม่ควรดื่มน้ำมาก ๆ ทันทีก่อนออกกำลังกาย เพราะจะทำให้จุกเสียดท้องและยังไม่ถูกดูดซึมจากลำไส้ด้วย
2. ระหว่างออกกำลังกาย ถ้าเป็นการแข่งขันที่ใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำในระหว่างนี้ ให้ดื่มเมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุดทันที แต่ถ้าเป็นการแข่งขันที่ใช้เวลานานกว่า 30 นาที เช่น การวิ่งระยะไกล การแข่งจักรยานระยะไกล หรือฟุตบอล นักกีฬาควรดื่มน้ำทดแทนเป็นระยะ ๆ ให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการจุกแน่น เช่นให้ดื่มน้ำเย็นครั้งละ 200 มิลลิลิตรทุก 15 นาที และเมื่อแข่งขันเสร็จให้ดื่มอีก 500 มิลลิลิตร
3. เมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มทดแทน ให้คำนวณดูจากน้ำหนักตัวที่หายไปในระหว่างการแข่งขัน น้ำหนักหายไปเท่าใดให้ดื่มเท่านั้น น้ำหนักที่ลดลงภายหลังออกกำลังกายส่วนใหญ่เป็นน้ำหนักของน้ำที่สูญเสียไปกับเหงื่อ เป็นน้ำหนักของไขมันน้อยมาก
นักกีฬาควรชั่งน้ำหนักตัวทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อคำนวณหาปริมาณน้ำที่ต้องดื่มทดแทน การชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ ๆ จะเป็นการประเมินภาวะ การขาดน้ำได้ดีที่สุด อาการกระหายน้ำเป็นตัวบ่งชี้ภาวะ การขาดน้ำที่ไม่ดี เพราะจะมีอาการต่อเมื่อร่างกายขาดน้ำไปมากพอสมควร พบว่านักกีฬาหลายรายมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากภาวะการขาดน้ำโดยไม่มีการกระหายน้ำให้เห็นเลย
ทั้งนี้ข้อปฏิบัติที่กำหนดเป็นมาตรฐานสากลซึ่งการจัดแข่งขันแชริตี้ชลบุรีมาราธอนขอหยิบยกแค่เรื่องน้ำมาเจียรไนก็ทำสอบตกทุกข้อแล้วมีดังนี้
3.1. ปริมาณน้ํา ปริมาณแก้วหรือภาชนะใส่น้ํา ที่เตรียมไว้
3.2. โต๊ะต้ังวางน้ํา มีขนาด จํานวน ความยาวรวมตลอดจุด (ในหนึ่งจุดให้น้ําอาจตั้ง โต๊ะวางน้ําแบ่งเป็นช่วงๆ เพื่อลดความแออัด)
3.3. ปริมาณแก้วที่รินน้ําต้ังวางบนโต๊ะเตรียมรอนักวิ่ง (หรือขวดที่เปิดฝาไว้แล้ว)
3.4. ระบบการตักรินน้ําช่วงที่มีนักวิ่งเข้ามาสู่จุดบริการน้ําพร้อมกันจํานวนมาก ต้องทําได้อย่างรวดเร็ว มีภาชนะ/อุปกรณ์ตักริน และเจ้าหน้าที่มากเพียงพอ
3.5. ท่ีจุดบริการน้ําแห่งแรกจะมีความแออัดมากที่สุด
3.6. โต๊ะน้ําโต๊ะแรกของแต่ละจุดบริการน้ํา จะมีความแออัดมากที่สุด หากผู้จัด เตรียมโต๊ะตั้งวางน้ำไว้หลายตัวในแต่ละจุดบริการน้ำ ควรประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าและควรมีผู้ประกาศที่จุดบริการน้ำด้วย
4. จุดบริการน้ําอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ ที่ได้รับการอธิบาย/สอนงานให้ผู้ประจําจุดบริการ เข้าใจ หากจุดใดมีการเพิ่มผู้ช่วยท่ียังเด็ก ก็ยังเป็นความรับผิดชอบดูแลของผู้ใหญ่
5. ผู้ประจําจุดบริการทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดเฉพาะ หรือมีสัญลักษณ์บ่งชัด
23.1.
เพิ่มพื้นท่ีวํางโดยการใช้แผ่นพลาสติกวางซ้อนบนแก้ว โดยที่ต้องคํานึงถึงความ สะอาดของแผ่นพลาสติกด้วย หากเป็นได้และไม่กีดขวางการจราจร23.2.
เพิ่มโต๊ะบริการน้ําทั้ง 2 ฝั่งของเส้นทางวิ่ง23.3.
เสริมป้ายแจ้งจํานวนโต๊ะบริการที่มีเพื่อให้นักวิงไม่ออกันที่โต๊ะแรกควรมีเครื่องมือ เช่น กระบอกน้ํา และบุคลากรเพียงพอที่จะจัดเติมเครื่องดื่มอย่างรวดเร็ว
29.1. ออกแบบให้มีปากกว้าง มีการจัดการให้มั่นคง ไม่ล้มพับ ปากภาชนะรองรับขยะ ไม่พับหุบง่าย
29.2. มีจํานวนมากเพียงพอเทียบกับปริมาณแก้วน้ํา/ขวด
29.3. ตั้งถังขยะห่างเป็นช่วงๆ
29.4. ถังขยะใบสุดท้ายควรอยู่ห่างจากจุดบริการน้ําอย่างน้อย 100 เมตร
29.5. อาจวางถังขยะทั้งด้านซ้ายและขวาของเส้นทางวิ่ง แต่ต้องไม่กีดขวางทางวิ่ง และไม่กีดขวางการจรํจร
29.6. เป็นปกติท่ีนักวิ่งจะไม่สามํารถทิ้งขยะลงให้ตรงถังขยะได้ ต้องมอบหมายให้มี ผู้รับผิดชอบจัดเก็บขยะให้สะอําดเรียบร้อยโดยเร็ว