svasdssvasds

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

"พาณิชย์" ออกประกาศ คุมเข้มหน้ากากอนามัย ให้เวลา 3 วันนับจากวานนี้ (5 มี.ค.) ผู้ขายต้องเคลียร์สต๊อกหน้ากากอนามัย(ทางการแพทย์) โดยวันที่ 9 มี.ค. ต้องขายราคา 2.50 ทุกร้าน หากมีการนำเข้าหน้ากากอนามัย ห้ามขายเกินราคาต้นทุนที่ 60%

วานนี้ (5 มี.ค. 63) - นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ภาพรวมของการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศ 11 โรงงาน สามารถผลิตได้ 36 ล้านชิ้นต่อเดือนหรือวันละ 1.2 ล้านชิ้น

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ผู้ผลิตต้องส่งข้อมูลของหน้ากากมาอนามัยมาที่ศูนย์กระจายหน้ากากอนามัยเพื่อมาบริหารจัดการเองทั้งหมด ซึ่งแบ่งให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปบริหารจัดการจำนวน 7 แสนชิ้นกระจายให้สถานพยาบาลทั่วประเทศ และกรมการค้าภายใน (คน.) จำนวน 5 แสนชิ้น โดยกระจายไปยัง ร้านขายยา หรือสายการบิน เช่น การบินไทย ร้านค้าส่งค้าปลีกต่าง ๆ รวมทั้งร้านธงฟ้า และอื่นๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ ศูนย์กระจายหน้ากากอนามัยจะบริหารจัดการหน้ากากร่วมกันทุกวัน เพื่อตรวจสอบการกระจายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยจำนวน 700,000 ชิ้นแรกจะเร่งไปเติมสต๊อกที่ขาดไปของโรงพยาบาลก่อน และจากนั้นจะได้บริหารจัดการอีกที ซึ่ง ครม. มีความเห็นชอบแล้วที่จะให้ขายหน้ากากอนามัยที่ราคา 2.50 บาท โดยต้นทุนส่วนเกินรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระเอง

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

“เนื่องจากหน้ากากอนามัยถูกประกาศเป็นสินค้าควบคุม ดังนั้นผู้ที่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ จะถูกดำเนินคดีหากเข้าข่ายการกักตุน เช่น

1. เก็บสินค้าไว้ที่อื่นนอกเหนือจากที่แจ้งเจ้าหน้าที่

2. ไม่นำหน้ากากที่มีอยู่ออกมาจำหน่าย

3. ปฏิเสธการจำหน่าย

4. ประวิงการจำหน่าย

5. ส่งมอบหน้ากากอนามัยโดยที่ไม่มีเหตุผลสมควร

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

ซึ่งผู้กักตุนหรือขายที่ราคาสูงเกินสมควรที่มีเจตนาจะสร้างความปั่นป่วน (ผิดตาม ม.29) มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท โดยปริมาณการครอบครองสูงสุดยังไม่มีการกำหนด เนื่องจากจะเกรงว่าจะกระทบกับผู้บริสุทธิ์ทั่วไป ที่จำเป็นต้องเก็บหน้ากากอนามัยไว้สำหรับปฏิบัติภารกิจ เช่นสถานพยาบาล ซึ่งหากสถานกาณ์เปลี่ยนแปลงก็จะมีการเปลี่ยนคำสั่งอีก

ทั้งนี้ ผู้ขายเกินราคา จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับสถานพยาบาลจะถือว่าเป็นผู้ที่จะได้รับการจัดสรรเป็นลำดับต้น โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้บริหารจัดการให้กระจายไปให้ทั่วถึงมากที่สุด โดยไม่ให้มีสถานพยาบาลใดตกหล่น”

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

นอกจากนี้ที่ประชุมกกร.ยังเห็นชอบให้มีการนำเข้าหน้ากาก ซึ่งจะมี 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือหน้ากากอนามัยที่มีสีเขียว ซึ่งจะมีอยู่ไม่มากนักและหน้ากากทางเลือกที่จะมีรูปทรงแตกต่างกันไป สำหรับหน้ากากทางเลือกนี้ กกร. มีความเห็นว่าราคาขายปลีกไม่ควรเกิน 60% ของต้นทุน เช่น ต้นทุน 100 บาท ราคาขายต้องไม่เกิน 160 บาท หรือต้นทุน 1 บาท ขายต้องไม่เกิน 1.60 บาท เป็นต้น โดยผู้นำเข้าจะต้องแสดงต้นทุนนำเข้า เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ กกร. มีมติออกประกาศเพิ่มเติม 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย

1. ประกาศราคาขายปลีกสูงสุดของหน้ากากอนามัย 2.50 บาทต่อชิ้นซึ่งมีผลวันที่ 9 มี.ค.

2. ประกาศวิธีคิดต้นทุนในการกำหนดราคาขายหน้ากากนำเข้าบวกต้นทุนได้ไม่เกิน60%ของต้นทุนที่แจ้งในการนำเข้า

และ 3. เรื่องเจลแอลกอฮอล์ ต้องขออนุญาตก่อนปรับราคาจากเดิมที่ไม่ได้แจ้งซึ่งมีผลทันที

ขีดเส้นตาย 3 วันเคลียร์สต๊อก บังคับขายหน้ากากฯ 2.50 บาท

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำโรงงานทั้ง 11 โรงแล้ว เพื่อรายงานสถานการณ์การผลิตแต่ละโรงงาน สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตหน้ากากอนามัย มีแนวโน้มนำเข้าได้ยากขึ้น แต่ยังพอเป็นไปได้คือจากอินโดนีเซียแต่ก็จะมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ช่วยประสานเพื่อหาแหล่งผลิตวัตถุดิบแล้ว

“จะให้เวลาผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆเป็นเวลา 3 วันในการเคลียร์สต๊อกหน้ากากอนามัย(ทางการแพทย์)ที่มีอยู่ในมือ ซึ่งในวันที่ที่ 9 มี.ค. เป็นต้นไป จะต้องจำหน่ายในราคา 2.50 บาทต่อชิ้นเท่านั้น ทั้งนี้ไม่รวมหน้ากากผ้า ที่ ครม. มีมติจัดสรรงบให้ 225 ล้านบาทเพื่อการผลิตโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 50 ล้านชิ้น หรือหน้ากากผ้าชนิดอื่นๆ ที่จะถูกผลิตในอนาคต ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองแล้วว่ากันเชื้อโรคได้ สำหรับการส่งออกจะไม่รอนุมติให้มีการส่งออกโดยเด็ดขาด เนื่องจากหน้ากากที่ผลิตได้ในประเทศทั้ง 36 ล้านชิ้น ก็ไม่เพียงพอกับการใช้ในประเทศอยู่แล้ว แต่หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา ไทยมีหน้ากากเพียงพอ เนื่องจากความต้องการยังไม่สูงขนาดนี้”

related