ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
ถือว่าเป็นอีก 1 ปี ที่มีทั้ง ขาขึ้นและขาลง ของ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล โปรสาวขวัญใจชาวไทย หลังจากปีที่ผ่านมา คว้าแชมป์มาได้ 2 รายการ และสร้างประวัติศาสตร์ก้าวขึ้นไปเป็นมือ 1 ของโลก ได้เป็นคนแรกของไทย
โปรเม เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเป็นมือ 2 ของโลก ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้ดี แม้จะยังไม่ได้แชมป์ แต่ยังสามารถจบอันดับท็อป 10 ได้ถึง 8 รายการ กระทั่งเดือน มิถุนายน ในรายการ มานูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิค โปรเม สามารถคว้าแชมป์แรกของปีมาครองได้สำเร็จ พร้อมกับการก้าวขึ้นไปเป็นมือ 1 ของโลก แต่ถ้ายังจำกันได้ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ทางแอลพีจีเอ ได้ประกาศผลการจัดอันดับผิดพลาด โดยประกาศว่า โปรเม ได้ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก แทนที่ของ ลิเดีย โค โปรชาวนิวซีแลนด์ ที่ครองบัลลังก์มานานถึง 85 สัปดาห์ แต่สุดท้ายเมื่อการประกาศอย่างเป็นทางการออกมา กลับกลายเป็นว่า โปรเม ยังคงรั้งมือ 2 ของโลก โดยมีแต้มตามหลัง โค แค่ 0.01 คะแนนเท่านั้น จนแอลพีจีเอต้องมีแถลงการณ์ออกมาขอโทษกันยกใหญ่ เพราะความผิดพลาดครั้งนี้เป็นเหตุมาจากเครื่องมือที่ใช้คำนวณทำงานพลาด
แต่หลังจากการคว้าแชมป์ กราฟชีวิตนักกอล์ฟของ “โปรเม” ก็เหมือนจะดิ่งลง เมื่อต้องเจอกับปัญหาฟอร์มตก ต้องหลุดจากบัลลังก์มือ 1 ที่เพิ่งจะครองได้เพียง 2 สัปดาห์ ไม่ผ่านการตัดตัวถึง 5 รายการ และไม่สามารถกลับมาจบการแข่งขันในตำแหน่งท็อปเทนได้อีกเลย ถึง 5 เดือนด้วยกัน นั่นคือสถานการณ์ที่ทำให้ โปรเม ต้องถอยหลังกลับมาคิดใหม่ ตั้งเป้าหมายถึงการพยายามสนุกกับการเล่นในสนาม
แต่แล้วในเดือนพฤศจิกายน โปรเม สามารถปลดล็อกตัวเอง กลับมาคว้าแชมป์ส่งท้ายปี ในรายการ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งถือเป็นการคว้าแชมป์แรกในรอบ 5 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากการคว้าแชมป์รายการที่ 2 ของปี เธอก็เปิดใจถึงอาการฟอร์มตกของตัวเอง ว่า ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น และเติบโตขึ้นเป็นนักกอล์ฟที่ดีได้ เธอคิดว่าการเป็นมือ 1 ของโลก ไม่ได้ช่วยพัฒนาการเล่นของตัวเองเลย จึงเปลี่ยนวิธีคิด โฟกัสที่ตัวเอง และเล่นให้มีความสุข สนุกกับสิ่งที่ทำ ทำให้เธอกลับมาคว้าแชมป์ส่งท้ายปีได้อีกครั้ง ก่อนที่จะปิดฉากฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นมือ 6 ของโลก
นอกจากการคว้าแชมป์กอล์ฟแอลพีจีเอ ทัวร์ ที่ โปรเม คว้าไปแล้ว 7 รายการตลอดการเล่นอาชีพแล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา เธอยังโกยรายได้ไปถึง 1,549,858 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50,405,947 บาท สูงสุดอันดับที่ 5 ของอันดับทำเงินสูงสุดประจำปี จากการเข้าร่วมการแข่งขัน 28 รายการ
ขณะที่พี่สาวอย่าง “โปรโม” โมรียา จุฑานุกาล ในปีนี้ถือว่าฟอร์มของเธอดีขึ้นมาก แม้จะยังไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ก็ตาม แต่ก็ทำผลงานยอดเยี่ยม จบท็อปอันดับท็อป 10 ได้ถึง 11 รายการ จากการแข่งขัน 28 รายการ พร้อมกับคว้าเงินรางวัล 1,320,900 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 43,272,727 บาท รั้งอันดับ 9 ของอันดับการทำเงินสูงสุดซึ่งเป็นนักกอล์ฟพี่น้องคู่แรกของแอลพีจีเอ ทัวร์ ที่ทำเงินรางวัลสะสมเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐได้ทั้งคู่อีกด้วย
นอกจากผลงานของโปรเมและโปรโม ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ดาวรุ่งอย่าง “น้องจีน” อาฒยา ฐิติกุล ก็สามารถโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมไม่แพ้กันในปีที่ผ่านมา เมื่อ “น้องจีน” สามารถสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์กอล์ฟ เลดีส์ ยูโรเปี้ยน ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ ไปครอง และทำสถิติเป็นนักกอล์ฟหญิงที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 14 ปี 4 เดือน 19 วัน เท่านั้น และหลังจากคว้าชัยชนะที่บ้านเกิดได้ไม่นาน “น้องจีน” ก็โชว์ฟอร์มทุบสถิติสนาม 9 อันเดอร์พาร์ในการแข่งขันวันสุดท้าย คว้าแชมป์ประเภทหญิงรายการ ดัตช์ จูเนียร์ โอเพน ที่ประเนเธอร์แลนด์ มาครองอีก
ซึ่งผลพวงจากชัยชนะในศึกใหญ่ระดับ เลดีส์ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ ทำให้ “น้องจีน” ได้สิทธิ์ลงทำศึกเมเจอร์ ริโคห์ วีเมนส์ บริติช โอเพ่น ที่สกอตแลนด์ แม้จะไม่สามารถผ่านการตัดตัวได้ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่แสนล้ำค่าของดาวรุ่งวัย 14 อย่างมากเลยที่เดียว และส่งท้ายด้วยความสำเร็จชิ้นแรกบนเวที ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยการคว้าเหรียญทองประเภทบุคคลหญิง ก่อนจะเบิ้ลอีกหนึ่งเหรียญทองในประเภททีมหญิง ที่จับคู่กับ น้องอ๋อม ฐิตาภา ภักดีเศรษฐกุล ครองแชมป์ซีเกมส์ได้ถึง 6 สมัย
ส่วนผลงานของโปรสาวรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “โปรแหวน” พรอนงค์ เพชรล้ำ, อรนรินทร์ สัตยาบรรพต และ ธิดาภา สุวรรณปุระ ถือว่ายังคงที่ ก็คงจะต้องรอลุ้นกันในปี 2018 ว่าบรรดานักกอล์ฟสาวไทย จะทำผลงานได้ดีขนาดไหน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศ พร้อมที่จะส่งกำลังใจและแรงเชียร์ ให้โปรสาวทุกคน มีผลงานที่ดี และคว้าแชมป์มาฝากชาวไทยได้อีกครั้ง
ทีมข่าวกีฬาสปริงนิวส์รายงาน
ขอบคุณภาพจาก FB : Ariya Jutanugarn, Moriya Jutanugarn