"โรแบร์โต ฟีร์มีโน" กองหน้าบราซิเลี่ยน ผู้ที่สวมบทฮีโร่ พังประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ ฟลาเมงโก 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์สโมสรเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร มาครอง
ปิดฉากการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในศึกแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2019 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. เป็นรอบชิงขนะเลิศ ที่สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดี้ยม, กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากทวีปยุโรป ลงสนาม ดวลกับ ฟลาเมงโก แชมป์ฟุตบอลโคปา ลิเบอตาดอเรส คัพ สมัยล่าสุดจากทวีปอเมริกาใต้
การจัดทัพเริ่มที่ "หงส์แดง" ของเทรนเนอร์ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับข่าวดีเมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังตัวเก่งหายจากอาการป่วยลงสนามเป็นตัวจริงได้ ประสานงานกับรรดาแข้งหลักรายอื่นๆ ทั้ง อลีสซง เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และโรแบร์โต ฟีร์มีโน
ด้าน ฟลาเมงโก ของกุนซือ ฮอร์เก เชซุส ส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดสนาม นำทัพโดย ดีเอโก อัลเวส, ฟิลิเป รุยซ์, ราฟินญา, แจร์ซอน, บรูโน เอนรีเก และกาเบรียล บาร์โบซา
ผลปรากฏว่าในช่วงเวลาปกติ 90 ทั้ง 2 ทีมผลัดกันรุก และรับ อย่างสูสี ทว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถเจาะประตูกันได้ทำให้ต้องไปหาผู้ลนะกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที
และในช่วงต่อเวลาพิเศษานาทีที่ 99 "หงส์แดง" มาได้ประตูออกนำ 1-0 จังหวะที่ ซาดิโอ มาน จ่ายถวายพานให้ โรแบร์โต ฟีร์มีโน ซัดเข้าไปไม่พลาด
หลังจากนั้นไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันเพิ่มได้ทำให้จบเกม ลิเวอร์พูล เฉือนชนะไปแบบหวุดหวิด 1-0
จากผลดังกล่าวทำให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์สโมสรโลกมาครองเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังที่มาลงแข่ง 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ พร้อมเป็นการถอนแค้น ฟลาเมงโก ที่เคยเอาชนะพวกเขาขาดลอย 3-0 สมัยที่รายการนี้ยังใช้ชื่อ “อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ” เมื่อปี 1981 อีกด้วย