ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
สังคมไทยปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกันแล้วและเมื่อเรามีอายุมากขึ้นร่างกายของเราก็อาจจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา สมองก็เช่นกันจะมีการเสื่อมตามกาลเวลา...
โรคมากมายที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ หนึ่งในนั้นคือภาวะสมองเสื่อม เป็นโรคฮิตที่เกิดขึ้นและพบเห็นได้บ่อยกับผู้สูงอายุ ภาวะสมองเสื่อม คือ ความถดถอยในการทำงานของสมอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสูญเสียเซลล์สมอง โดยเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งจนลุกลามไปยังสมองส่วนอื่นๆ ความเสื่อมถอยจะดำเนินไปอย่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งอาจใช้เวลานับ 10 ปี กว่าที่ความผิดปกติจะปรากฏเด่นชัดจนสังเกตเห็นได้ และเราสามารถสังเกตอาการของผู้สูงอายุในบ้านได้ว่ามีอาการภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ จากอาการเหล่านี้
1.จำไม่ได้แม้แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เช่น ลืมว่ากินอะไรไป
2. ทำกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยไม่ได้ เช่น ลืมวิธีแต่งตัว
3. มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น ลืมคำศัพท์ง่ายๆ พูดคำผิด สื่อสารกับผู้อื่นลำบาก
4. สับสนวันเวลาและสถานที่ เช่น หลงวันเวลา หลงทาง กลับบ้านตัวเองไม่ถูก
5. ตัดสินใจไม่เหมาะสม เช่น เปิดพัดลมแรง ทั้งที่อากาศเย็นมาก
8. อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น เปลี่ยนจากสงบ เป็นร้องไห้และโมโห ภายในไม่กี่นาที
9. บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง เช่น กลายเป็นคนหวาดระแวง
10. ขาดการริเริ่มสร้างสรรค์ เช่น นั่งหรือนอนทั้งวัน ไม่อยากออกไปเจอผู้คน
โดยวันนี้ทางเราได้นำวิธีดีๆที่ช่วยให้สมองยังคงใช้งานได้อย่างเต็มที่ และถึงแม้ว่าภาวะสมองเสื่อมจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เราไม่ควรละเลยที่จะป้องกัน และการป้องกันภาวะสมองเสื่อมก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วย 3 กิจกรรมที่สามารถทำได้ทุกวัน ดังนี้
1. ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิค วันละ 30 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 วัน
2. รักษาสุขภาพอยู่เสมอ
- ควรเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา
- ควรมีกิจกรรมทางกาย เช่น เดินแทนการนั่งรถ ทำงานบ้าน ทำงานอดิเรกที่ชอบ
- ควรมีกิจกรรมทางสังคม เช่นออกไปพบปะเพื่อนฝูง พูดคุยกับเพื่อนบ้าน
- ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ควรสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
- ไม่ควรทำกิจกรรมที่เสี่ยงกับการบาดเจ็บทางศีรษะ
- ไม่ควรปล่อยให้มีน้ำหนักตัวมากจนอ้วน
3. บริหารสมองบ่อยๆ
โดยใช้ท่าบริหารดังนี้
ท่าโป้งก้อย มือขวาชูนิ้วโป้ง มือซ้ายชูนิ้วก้อย เมื่อทำได้ ให้สลับเปลี่ยนเป็นมือขวาชูนิ้วก้อย มือซ้ายชูนิ้วโป้ง
ท่าจีบแอล มือขวาทำมือรูปจีบ มือซ้ายทำมือเป็นรูปแอล เมื่อทำได้ให้สลับมือเปลี่ยนเป็น มือขวาทำมือรูปตัวแอล มือซ้ายทำเป็นรูปจีบ
ท่าจับจมูกจับหู มือขวาจับปลายจมูก มือซ้ายจับหูขวา เมื่อทำได้ ให้สลับเปลี่ยนเป็นมือขวาจับหูซ้าย มือซ้ายจับปลายจมูก
ทางเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า วิธีที่นำมาให้ท่านข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน และหากท่านนำวิธีข้างต้นนี้ไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์กับร่างกายและสมองของท่านเองนะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaihealth , มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ (มส.ผส.)