ร้านขายอาหารจานด่วน ไม่สามารถปรับราคาขายเกินความเป็นจริงได้ เพราะกรมการค้าภายในระบุเพิ่มต้นทุนไม่ถึง 1 บาท หากเปรียบเทียบกับราคาก๊าซหุงต้มที่ขึ้นราคา
วันนี้(23พ.ค.)นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้ศึกษาผลกระทบของการปรับขึ้นราคาขายก๊าซหุงต้ม หรือ ขนาดถัง 15 กิโลกรัม ที่ปรับขึ้น 42 บาท จากถังละ 353 บาท เป็นถังละ 395 บาท พบว่ามีผลให้ต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จ หรือ อาหารจานด่วน เพิ่มขึ้นประมาณละ 15-20 สตางค์ โดยคำนวณจากก๊าซหุงต้ม 1 ถัง ปรุงอาหารได้ 200-300 จานหรือชาม เช่น ก๋วยเตี๋ยว มีต้นทุนก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นชามละ 1.88 บาท จากเดิมอยู่ที่ชามละ 1.68 บาท ต้นทุนก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นชามละ 20 สตางค์ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการอาหารจานด่วนจะปรับขึ้นราคาขาย เพราะกระทบต้นทุนการผลิตอาหารน้อยมากไม่ถึง 1 บาท
ขณะเดียวกันจะเชิญผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมาหารือเพื่อประเมินสถานการณ์ราคาขาย และผลกระทบที่จะได้รับหลังการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล และผู้ประกอบการรถบรรทุกขนส่งได้ปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 5% และจะขอความร่วมมือให้ชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้า หากต้นทุนไม่ได้ปรับขึ้นมากจนรับภาระไม่ไหวในสัปดาห์นี้
ส่วนการปรับขึ้นค่าขนส่งรถบรรทุกอีก 5% ที่จะมีผลกระทบต่อราคาสินค้า พบว่าการปรับขึ้นดังกล่าว จะกระทบต่อราคาขายปลีกสินค้าไม่ถึง 0.05%
โดยสินค้าที่ได้รับกระทบน้อยสุดคือ ผ้าอนามัย และสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือ ปูนซีเมนต์ ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่ม จะได้รับผลกระทบ 0.017-0.27% สินค้าที่กระทบน้อยสุด คือ ปลากระป๋อง และกระทบมากสุดคือ นมถั่วเหลือง ส่วนหมวดเกษตร สินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ยาปราบศัตรูพืช กระทบ 0.085% และปุ๋ยเคมี กระทบ 0.25%